คณะสังคมศาสตร์และการพัฒนาท้องถิ่น
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/163
ค้นหา
48 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อนุวัฒน์ ชมภูปัญญา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้ตารางคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.724 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว รองลงมาคือ เส้นทางการเข้าถึงชุมชน ด้านการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านการจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน ด้านการจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ 2. ปัจจัยการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีผลต่อการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า แนวทางการบริหารจัดการชุมชนสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มี 6 ข้อ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว 2) การจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน 3) การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว 4) ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) เส้นทางการเข้าถึงชุมชน และ6) การจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชนรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ประสิทธิผลการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสําหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการ ธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ชิดชนก ชัยวัฒน์ตระกูล; ธนัสถา โรจนตระกูล; โชติ บดีรัฐการศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่สามารถใช้และยื่นสินเชื่อ จำนวน 264 คน จากสูตรของยามาเน่ เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.881 สถิติ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test และ F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พบว่า ลูกค้าที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า ควรดำเนินการ คือ 1) การประเมินโครงการก่อนดำเนินการที่ผ่านมาให้เห็นถึงปัญหา อุปสรรค 2) การประเมินระหว่างดำเนินการโครงการ เพื่อเป็นการทบทวนแผนของโครงการ 3) การประเมินโครงการหรือการประเมินประสิทธิภาพ การประเมินที่ให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินโครงการในเชิงของประสิทธิภาพ และ 4) การพัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการ เพื่อนำผลการดำเนินงานที่ผ่านมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานต่อไปรายการ เมทาเดทาเท่านั้น แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อานุภูม มณเฑียร; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; โชติ บดีรัฐการศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกกรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจกับบุคลากรของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จำนวน 236 คน โดยเก็บจากประชากรทั้งหมด เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test การทดสอบค่า F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการรายงานผลการปฏิบัติการ รองลงมา คือ ด้านการอำนวยการและการสั่งการ ด้านการจัดองค์กรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ ด้านการบริหารงบประมาณในพื้นที่ ด้านการกำหนดนโยบายและการวางแผน ด้านการจัดบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ และด้านการประสานงาน ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก พบว่า บุคลากรที่มี เพศ อายุ การศึกษา ตำแหน่ง เงินเดือน และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก ไม่แตกต่างกันทุกด้าน 3. แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า 1) การดำเนินการสำรวจจัดทำทะเบียนจำนวนโบราณสถานทั้งหมดให้ชัดเจน 2) การดำเนินการทางด้านงานวิชาการและงานบูรณะโบราณสถาน 3) การดำเนินการถ่ายทอดข้อมูลองค์ความรู้ด้านแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ 4) การดำเนินการประสานงานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและชุมชน และ 5) การดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนผลประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่จากการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดเพชรบุรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จักร ศิริรัตน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบุรี การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารและบุคลากรขององค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 337 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เจาะลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหรือบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 11 ท่าน วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลทำโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก ได้แก่ ด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อม รองลงมาคือ ด้านการกำหนดทิศทาง ด้านการกำหนดกลยุทธ์ ด้านการปฏิบัติตามกลยุทธ์ และด้านการควบคุมและประเมินผล ตามลำดับ ส่วนปัจจัยการบริหาร โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในลำดับแรก ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ รองลงมาคือ ด้านโครงสร้าง ด้านระบบ ด้านบุคคล ด้านรูปแบบ ด้านค่านิยมร่วม และด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านทักษะ ตามลำดับ 2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ด้านบุคคล (X₅) ด้านโครงสร้าง (X₂) ด้านรูปแบบ (X₃) ด้านค่านิยมร่วม (X₇) และด้านกลยุทธ์ (X₁) มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 70.20 สามารถเขียนเป็นสมการการถดถอยได้ดังนี้ Ŷₜₒₜ tot = 1.514 + 0.133(X₅) + 0.145(X₂) + 0.156(X₃) + 0.109(X₇) + 0.111(X₁) 3.รูปแบบการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพชรบุรี คือ “4S2PV Model” ประกอบด้วย กลยุทธ์ (S: Strategy) โครงสร้าง (S: Structure) ระบบ (S: System) ทักษะ (S: Skill) รูปแบบ (P: Pattern) บุคคล (P: Person) และค่านิยมร่วม (V: Values)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษากระบวนการขับเคลื่อนรัฐประศาสนศาสตร์พลเมือง กรณีศึกษากองทุนสวัสดิการชุมชนของตำบลอรัญญิก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ยุวดี พ่วงรอด; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการ 2) เพื่อศึกษาเครือข่ายทางสังคม และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะต่อแนวทางการขับเคลื่อนรัฐประศาสนศาสตร์พลเมือง กรณีศึกษากองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลอรัญญิก เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 38 คน โดยผู้วิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ เป็นคณะกรรมการและสมาชิกองกองทุนสวัสดิการชุมชนมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ปี และเป็นผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์เกี่ยวกับเครือข่ายทางสังคม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาร่วมกับการประยุกต์ใช้เทคนิค การเล่าเรื่อง และการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการขับเคลื่อนรัฐประศาสนศาสตร์พลเมือง หัวใจสำคัญต้องเริ่มจากบทบาทของคณะกรรมการกองทุนสวัสดิการชุมชน ในการกระตุ้น ส่งเสริม ให้สมาชิกกองทุนสวัสดิการชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของกองทุนสวัสดิการชุมชนในทุกกระบวนการ ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล 2. เครือข่ายทางสังคมในการขับเคลื่อนรัฐประศาสนศาสตร์พลเมือง จากผลการวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม พบว่า บทบาทเครือข่ายทางสังคมในการส่งเสริม สนับสนุนกลไกการทำงาน ด้านทรัพยากร มีรูปแบบของเครือข่ายเป็นแบบวงล้อหรือดาว ส่วนเครือข่ายทางสังคมที่เป็นดาวเด่น คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาลเมืองอรัญญิก) เครือข่ายทางสังคมที่มีความเป็นศูนย์กลาง และมีความแข็งแรง คือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เครือข่ายทางสังคมที่มีความเป็นตัวกลาง คือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก มีค่าความหนาแน่น = 0.5 3. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการขับเคลื่อนรัฐประศาสนศาสตร์พลเมือง จะต้องมุ่งเน้นให้ ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทุนฯ และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ และทำความเข้าใจในบทบาทของตนเองอย่างครอบคลุมและรอบด้านรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วัชรพล อรุณรัตน์; ธนัสถา โรจนตระกูล; ภาสกร ดอกจันทร์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ 3. เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างเก็บข้อมูล จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามมีลักษณะแบบเลือกตอบอย่างใดอย่างหนึ่งจาก 2 คำตอบ และประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%), ค่าเฉลี่ย (x̄), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.), t - test และF - test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ โดยรวมอยู่ในระดับนาน ๆ ครั้ง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการป้องกันตนเองของประชาชน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และรองลงมา คือ ด้านการดำเนินการในกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน และด้านการป้องกันสำหรับสถานที่ทำงาน หรือสถานประกอบการ 2. ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพ รายได้ ระดบการศึกษา และสถานภาพสมรส มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศและอายุ ไม่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ สรุปได้ว่า ควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ในการรักษาระยะห่าง การสวมีหน้ากากอนามัย การล้างมือเพื่อขจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆและเข้ารับการตรวจหาเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 กรณีที่เดินทางไปสถานที่มีความเสี่ยงรวมทั้งเพิ่มการประชาสมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีทัศนคติที่ตระหนักและทราบถึงสาเหตุ ความรุนแรง และวิธีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรครายการ เมทาเดทาเท่านั้น ความรับผิดจากการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย : ศึกษากรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พิธาน แสงสุริยัน; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ; กานดิศ ศิริสานต์วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาความรับผิดทางกฎหมายของผู้บังคับใช้กฎหมายในบริบทขององค์กรในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยเน้นความสำคัญของอำนาจดุลพินิจ เนื่องจากกฎหมายภายในไม่สามารถบัญญัติให้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ การให้อำนาจดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่รัฐจึงจำเป็น เพื่อปรับใช้กฎหมายอย่างยืดหยุ่นและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเฉพาะราย โดยเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจโดยปราศจากการแทรกแซง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายและสร้างความยุติธรรมเฉพาะกรณี การใช้ดุลพินิจที่บิดเบือนอำนาจต่างจากการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบทั่วไป คือ การใช้ดุลพินิจทำนิติกรรมทางปกครองโดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อบรรลุประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์มหาชนอื่นที่กฎหมายไม่ได้กำหนด หากมีเจตนาทุจริตหรือมุ่งร้าย การใช้อำนาจดังกล่าวถือว่าร้ายแรงและอาจมีความรับผิดทางอาญา ตามหลักการของอังกฤษและฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี การกำหนดความรับผิดทางอาญาจากการใช้อำนาจดุลพินิจโดยมิชอบเป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากต้องค้นหาเจตนาของผู้กระทำและมูลเหตุจูงใจที่แท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในของความผิดทางอาญา ต้องอาศัยพยานหลักฐานหลายอย่าง นอกจากนี้ ปัจจัยด้านกฎหมายอาญาสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ รวมถึงการตีความของศาล ก็มีส่วนสำคัญในการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใช้อำนาจดุลพินิจรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงานภาครัฐ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พีรดนย์ ปราบต์พีรดนย์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญการวิจัยเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงาน ภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายการคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ และข้อบังคับในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออกจากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการ และเพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักกฎหมาย หลักเกณฑ์การคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ ในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออก จากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการของประเทศไทยกับหลักกฎหมายหลักเกณฑ์ ของต่างประเทศ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ คือ จำนวนผู้พ้นโทษในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อจำคุกตามคำ พิพากษาครบกำหนดจากเรือนจำเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ แสนกว่าคน (หรือเดือนละประมาณ 10,000 คน) และบางปียังมีการปล่อยตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเนื่องในโอกาสมหามงคลพิเศษตามวาระต่าง ๆ ก็จะมีผู้พ้นโทษออกมากกว่าในปีปกติ อีกทั้งยังมีผู้พ้นโทษที่พ้นจากระบบการคุมความประพฤติซึ่งมีทั้งผู้ ได้รับพักการลงโทษและลดวันต้องโทษ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ออกมาจากสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน แต่ที่สำคัญมักจะปรากฏข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผู้พ้นโทษบางส่วน ได้กลับไปกระทำผิดซ้ำเมื่อถูกปล่อยตัวไปไม่นาน สาเหตุหนึ่งเกิดจากผู้พ้นโทษเหล่านี้ ไม่สามารถประกอบอาชีพ สุจริตได้ เพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนเนื่องด้วยเคยติดคุกและมีประวัติอาชกรรม จึงทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำในกลุ่มผู้พ้นโทษรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ดำรงค์ชัย หยวกยง; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น 2) ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุนที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น และ 3) แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ ข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร จำนวน 219 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ท้องถิ่นจังหวัดพิจิตร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร นายกเทศบาลเมือง นายกเทศบาลตำบล จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t- test F-test การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านเวลาที่ใช้ในงาน (x̄= 4.25) รองลงมาด้านคุณภาพงาน (x̄= 4.22) ด้านปริมาณงาน (x̄= 4.19) และด้านค่าใช้จ่าย (x̄= 4.11) 2. ปัจจัยด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านได้รับการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ด้านนโยบายการบริหารขององค์กร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กร และด้านความมั่นคงในงาน มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น พบว่า มีการกำหนดนโยบายการบริหารขององค์กรที่ชัดเจน ความรับผิดชอบให้เหมาะสมกับตำแหน่งและความสามารถ ส่งเสริมการประสานงานภายในหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความร่วมมือปฏิบัติงานสำเร็จตามเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงสร้างความรู้สึกถึงความมั่นคงในการทำงาน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ข้าราชการท้องถิ่นที่จะปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น