คณะสังคมศาสตร์และการพัฒนาท้องถิ่น
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/163
ค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) รุ่งทิพย์ จันธิราช; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัยการวิจัยในเรื่องนี้วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบปัญหาความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่ม โดยพัฒนาความรู้ ผลิตภัณฑ์และการศึกษาความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ทำวิจัยในกลุ่มผ้าทอบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยวิธีการวิจัยแบบภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังเป็นปัญหาพื้นฐานของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก และกลุ่มมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่เหมาะสมกับวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ และต้องการพัฒนาความรู้ของสมาชิกกลุ่มด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป 2. กลุ่มสมาชิกที่มีความรู้ และทักษะฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปสามารถผลิต ผลิตภัณฑ์ เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มวัยกลางคนถึงสูงอายุ เป็นเสื้อแขนสั้น คอปกเชิ้ต บ่าเรียบไม่มีอินธนู กระเป๋าเจาะไม่มีฝาปิดด้านซ้าย ชายเสื้อตัดตรงมีขอบยื่นสำหรับติดกระดุม ตัวเสื้อใช้ผ้าสีพื้น กระดุมหุ้มด้วยผ้าสีพื้น 3. ความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบผลิตภัณฑ์เสื้อสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษของกลุ่ม ทอผ้าบ้านน้ำพริก ที่เป็นรูปแบบเรียบง่าย ไม่เป็นทางการ สามารถสวมใส่ในทุกๆโอกาส โทนสีปานกลางไม่เข้มหรืออ่อนเกินไปเหมาะกับรูปร่างและผิวพรรณของแต่ละบุคคล สวมใส่แล้วสวยงามดูภูมิฐาน สุภาพเรียบร้อยเข้ากับลักษณะของกลุ่มวัยตนเอง ราคาไม่แพงเกินไป สามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปไปใช้ได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดทำแผนแม่บทชุมชน : กรณีศึกษาตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) เตือนใจ อุ่นจันทร์; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; สงวน ช้างฉัตร; สุทิน เจริญสังข์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษากระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชนและนำเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดทำแผนแม่บทชุมชนใหม่ แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นคณะกรรมการแผนแม่บทชุมชนตำบลวังพิกุล จำนวน 7 คน จากการเลือกแบบเจาะจงรวบรวมข้อมูลโดยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์แบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการจำแนกและจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามประเด็นและนำเสนอแนวทางในรูปแบบตารางเปรียบเทียบประกอบการบรรยายสภาพ ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการจัดทำแผนชุมชนในอดีต ดำเนินไปภายใต้แนวทาง วิธีการและการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรพัฒนาเอกชน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำแผนแม่บทชุมชน ปัญหาและอุปสรรคที่พบคือแกนนำผู้จัดเก็บข้อมูลและครัวเรือนผู้ให้ข้อมูลมีความเข้าใจในข้อคำถามของแบบสอบถามน้อย และขาดความต่อเนื่องในการนำแผนงานพัฒนาในแผนแม่บทชุมชนไปสู่การปฏิบัติ กระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชนที่ควรปรับปรุง ได้แก่ ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนมากขึ้น ให้เวทีประชาคมเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ ใช้ทุนหรือศักยภาพที่ชุมชนมีเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของชุมชนโดยกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างระบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนและยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เพื่อให้สู้เป้าหมายชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาชุมชนหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สุมาลี อินทอง; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; นิพันธ์ ประทุมศิริการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชุมชรหนอกปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดยศึกษาจากประชากรทั้งหมด 680 คน แล้วทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการ Snowball Sampling ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 228คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เครื่องบันทึกเสียง สมุดจด วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาและเรียบเรียงวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทฤษฎี และนำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่มีการพัฒนาเหมืองฝายเพื่อสร้างผลผลิตทางหารเกษตรให้มากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ชาวบ้านนั้นยากจนลงและมีหนี้สิ้นเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ 2. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่เริ่มมีความสัมพันธ์กันลดลงเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มโยกย้ายถิ่นฐานของตนเองเข้าสู่เมืองทำให้เกิดความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนเริ่มสั่นคลอนลง 3. ภาครัฐให้การกระตุ้นชาวบ้านทั้งยังจัดโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้ชาวบ้านต้องกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านนั้นจำนองจำนำและขายพื้นที่กินในที่สุด 4. เอกชนจัดบริการเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการทำการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวบ้านให้รวดเร็วและทันต่อความต้องการในการใช้จ่ายให้มากที่สุด ผลคือ ชาวบ้านมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านนั้นยากจนลงและติดหนี้สิน 5. แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการลดค่าใช้จ่าย เสริมสร้างรายได้ ประหยัด การพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือกัน การดำรงชีวิตพึ่งตนเอง อยู่อย่างเพียงพอ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กรณีศึกษา : ตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กฤษณะ เอี่ยมสะอาด; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สาคร สร้อยสังวาลย์ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบทชุมชน ปัญหาความต้องการ ใช้น้ำรวมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร และตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยจัดเวทีประชาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรณีศึกษาได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชหลัก 5ชนิด คือ ข้าว กล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด จำนวน 300 ครัวเรือน ในเขตพื้นตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตำบลหนองกลับเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุด ในอดีตให้ผลคุ้มค่า แต่ภายหลังเกิดโรค แมลง ศัตรูพืชระบาด เกษตรกรจึงหันมาปลุกกล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพดตามลำดับ ในด้านปัญหาเกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร เกษตรกรปลูกข้าวเป็นพืชหลัก อาศัยน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีแหล่งน้ำไหลผ่าน มีเพียงลำคลองสายสั้น ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ในฤดูฝนบางปีอาจมีน้ำท่วม ทำให้ใช้น้ำจากบ่อบาดาล คลอง หนอง และบึงธรรมชาติ โดยมีน้ำใช้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปี แต่ในช่วงฤดูฝน บางปีอาจถุกน้ำท่วมทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับความต้องการ และข้อเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว มีดังนี้คือ 1. ต้องการระบบชลประทาน โดยเฉพาะคลองส่งน้ำ ที่สามารถกระจายน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลุกทั่วถึง 2. ต้องการแหล่งน้ำตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการขุดสระกักเก็บน้ำที่จะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี 3. ต้องการขุดลอกคลอง หนอง และบึงธรรมชาติ ให้มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นความต้องการของเกษตรกร ที่ปลูกกล้วยไม้ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด 4. ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองจะก่อเกิดประโยชน์ในหลายประการ และทำให้การดำเนินงานด้านเกษตรกรรมของชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบมีเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมชาติแก่เกษตรกรผู้ใช้น้ำโดยส่วนร่วม ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสนใจ และมีมติเห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสอง ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุสุมา แก้วบุรี; นิคม นาคอ้าย; สงวน ช้างฉัตรการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพในการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองและนำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ การทดสอบค่า t-test ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ก้านทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมการขาย พบว่า ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองมีการดำเนินธุรกิจในภาพรวม มีสภาพการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง พบว่าการเปรียบเทียบสภาพดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามประสบการณ์ทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามระดับการศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 3. การนำเสนอแนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองเพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและช่วยแกไขปัญหาในตลาดที่มีคู่แข่งขันสูง ซึ่งตลาดหแบบเก่าจะมีการพัฒนา ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย/ทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมหารขาย แต่การตลาดสมัยใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาด4P’ ควบคู่การพัฒนาสินค้า การบริการการสร้างความพึงพอใจ การบริการหลังการขายและการสร้างทัศนคติที่ดีที่ลุกค้ามีให้ผู้ประกอบการ และมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์สินค้า ซึ่งแนวทางการพัฒนามีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคระกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) นพดล เหล่ากอ; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิดคือ แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกทั้ง 3 กองทุน จำนวน 333 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ดำเนินการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 มาสังเคราะห์โดยอิงทฤษฎีการบริหารและหลักธรรมาภิบาล มาร่างเป็นกระบวนการบริหารจัดการกองทุน ประเมินคุณภาพกระบวนการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรฐานการประเมินที่พัฒนา STUFFLEBEAM และคณะ โดยการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เป็นการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนบ้านพักอาศัย 4 เขต แบ่งออกเป็น 3 กองทุน การจัดตั้งกองทุน การคัดเลือกกรรมการ และการมอบหมายหน้าที่ของกรรมการ เป็นการแต่งตั้งด้านการบริหารจัดการกองทุนปัญหาอยู่ในระดับมาก คือด้านหลักการมีส่วนร่วม และด้านที่มีระดับปัญหาน้อย คือด้านหลักนิติธรรม การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุน มีการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนหน่วยงานที่ใกล้เคียงกัน มีการประชุมจัดตั้งกองทุน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานมีการเลือกตั้งคณะกรรมการ และหมอบหมายหน้าที่ มีการประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงาน การพัฒนาคุณภาพของกระบวนการบริหารจัดการกองทุน พบว่า ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภิรมย์ สิทธิกมลรัตน์; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) สำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 2) พัฒนาคุณภาพ กลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 3) ทดลองใช้กลยุทธ์โดยการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของสมาชิกก่อนและหลังการใช้กลยุทธ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2549 กับช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2550 4) ประเมินกลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด หลังการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สมาชิกสหกรณ์รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่า t-test dependent ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กระบวนการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การสำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 231 คน 2) การกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา 3) ทดลองใช้กลยุทธ์กับสมาชิกสหกรณ์ที่สมัครใจ จำนวน 40 คน 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ ซึ่งพบว่าสภาพการมีส่วนร่วมนั้น ส่วนใหญ่สมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันมีความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ระดับน้อย ความคิดเห็นที่มีต่อสหกรณ์ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาได้แก่ เอกสารเผยแพร่ การให้การศึกษาฝึกอบรม กำหนดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่ม แบ่งกลุ่มคัดเลือกผู้นำ และการกระตุ้นเตือนเป็น เวลา 3 เดือน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์ความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์และความคิดเห็นที่มี่ต่อสหกรณ์ ในภาพรวมเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการซื้อสินค้าจากสหกรณ์อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของ ศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) มนัส มากบุญ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สุภาพ รมณีย์พิกุล; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณวิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยและพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุน ต่อหน่วยบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนต่อหน่วยบริการและเสนอกลยุทธ์การบริหารต้นทุนของศูนย์สุขภาพชุมชนอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชนทั้งหมดในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 41 คน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ต้นทุนต่อหน่วยบริการจำแนกตามรายกิจกรรม ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง พบว่า กิจกรรมงานรักษาพยาบาล มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 74.18 บาท งานอนามัยแม่และเด็กมีต้นทุนต่อหน่วยเท่ากับ 297.21 งานวางแผนครอบครัว มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 169.44 บาท งาน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มีต้นทุนต่อหน่วยเฉลี่ย เท่ากับ 220.06 งานเยี่ยมบ้าน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 19.26 บาทงานอนามัย โรงเรียน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 472.27 บาท งานสุขาภิบาลและควบคุมโรค มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 782.62 บาท และงานทันตสาธารณสุข มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 726.69 บาท สัดส่วนของต้นทุนด้านค่าแรง ต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน เท่ากับ 299,348 : 205,148 : 155,419 หรือร้อยละ 45.36 : 31.09 : 23.55 การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยบริการเฉลี่ยจำแนกตามรายกิจกรรมของศูนย์สุขภาพชุมชนพบว่าทั้งศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีต้นทุนต่อหน่วยบริการไม่แตกต่างกัน คือ มีต้นทุนค่าแรงมากที่สุด รองลงมาคือต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน การพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพชุมชน พบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ใช้การพัฒนากลยุทธ์ผู้นำในค่าใช้จ่าย โดยเสนอกลยุทธ์ ลดค่าแรงเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ 3 วิธี คือ 1.การลดการอยู่บรรนอกเวลาลงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน 2.เจ้าหน้าที่ในศูนย์สุขภาพชุมชนลูกข่ายไปขึ้นเวรนอกเวลาในศูนย์สุขภาพชุมชนแม่ข่าย 3.การงดการอยู่เวรนอกเวลาทั้งหมดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภูษิต ล้ำสมภพ; อำนวยพร สุนทรสมัย; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาทางจริยธรรมของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 3 และนำเสนอแนวทางการพัฒนาจริยธรรมของนักเรียน ตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนครูในอำเภอพรหมพิราม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 3 จำนวน 53 แห่ง ๆ ละ 2คน คือครูที่ปรึกษา 1 คน และครูแนะแนวหรือครูฝ่ายปกครอง 1 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือในการเก็บข้อมูลเป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานากลาง ดังนี้ การมีวินัย มีความรับผิดชอบและปฏิบัติตนตามหลักธรรมเบื้องต้นฯ ได้แก่ แต่งกายเรียบร้อยและถูกระเบียบและมีมารยาทในการรับประทานอาหาร ความซื่อสัตย์สุจริต ได้แก่ ปฏิบัติตามระเบียบการสอบและไม่ลอกการบ้านไม่ลักขโมยทรัพย์สิน ไม่พูดโกหกและกล้ายอมรับความจริง ความกตัญญูตกเวที ได้แก่ แสดงออกถึงความรักและเคารพพ่อแม่ เคารพและเชื่อฟังครูอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่และครุอาจารย์ และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมชุมชนและครอบครัว ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ ได้แก่ รู้จักให้เพื่อส่วนรวมและผู้อื่น และแบ่งปันทรัพย์สินและสิ่งของให้แก่ผู้อื่น แสดงออกถึงการมีน้ำใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่นและเสียสละต่อผู้ด้อยโอกาส และไม่เอาเปรียบผู้อื่น ความประหยัด ได้แก่ รู้จักใช้ทรัพย์สินของของโรงเรียนอย่างประหยัดใช้อุปกรณ์การเรียนอย่างประหยัด เข้าร่วมกิจกรรมประหยัดของโรงเรียน รู้จักใช้น้ำ ไฟฟ้า และสาธารณูปโภคที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างประหยัด และรู้จักการออมเงิน และใช้เงินอย่างประหยัด ภูมิใจในความเป็นไทยและดำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย ได้แก่ แสดงออกถึงความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ชอบเรียนรู้และสนใจในภูมิปัญญาไทยของท้องถิ่นของตน เรียนรู้และสนใจในศิลปวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นของตนสามารถเผยแพร่ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ และแสดงออกถึงความรักและความหวงแหนในศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาไทยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอมรินทร์ลากูน พิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ผกามาศ อินทร์ตลาดชุม; ถาวร พงษ์พานิช; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า 2) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า และ3) ประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก การศึกษาครั้งนี้ศึกษากับประชากร ได้แก่ ผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หัวหน้าฝ่ายงานของแผนกต้อนรับส่วนหน้า และพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูล พิษณุโลก จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพการปฏิบัติงานบริการ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่า 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8971 แบบบันทึกการแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.8971 แบบบันทึกการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย() ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน()และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติงานบริการภาพรวมของทุกฝ่ายอยู่ในระดับพอใจ 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านบุคลิกภาพ ควรเปลี่ยนแบบฟอร์มพนักงานใหม่ ดูแลกวดขั้นการแต่งกายให้ถูกระเบียบ จัดสวัสดิการเครื่องประดับสำหรับพนักงานอาคันตุกะสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับแบบฟอร์ม และมีการรณรงค์การปฏิบัติงานด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ควรจัดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะในการปฏิบัติงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น แจ้งข้อมูล และจัดหาเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลจังหวัดใกล้เคียงเส้นทางเทศกาล หรือเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนล่วงหน้า จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเรียกดูหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับพนักงานรับโทรศัพท์ มีการประเมินการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินย้อนกลับสู่พนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้บริการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ควรมีการทำสังคมมิติในกลุ่มพนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้ 3. หัวหน้างานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก มีความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) อังคณา นุ้ยพิน; ไพศาล ริ้วธงชัย; อนงค์นาฎ คงประชาการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและกำหนดแนวทางพัฒนาการทำงานของเจ้าหน้าที่วชิรบารมีจังหวัดพิจิตร รวม 5ด้านได้แก่ ด้านความรู้ความสารมารถในการทำงาน ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านระบบการทำงาน ด้านการส่งเสริมสนับสนุนของผู้บริหาร โดยมีประชากรที่ศึกษา จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง 3 อันดับแรกได้แก่ ความพอใจกับตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับ ความสามารถใช้เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ได้ตรงความต้องการตามมาตรฐานของแต่ละงาน และการพัฒนาองค์ความรู้ของตนเองตามลำดับ 1.2 ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้า มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง 3 อันดับแรกได้แก่ ความก้าวหน้าในเรื่องเงินเดือนที่ได้รับเมื่อเทียบกับความรู้ ความก้าวหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ให้ดีขึ้นตามความสามารถและความก้าวหน้าในเรื่องความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน ตามลำดับ 1.3 ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ มีปัญหาอยู่ในระดับมาก 3 อันดับแรกได้แก่ ความสามารถในการปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานเมื่อมีปัญหาในการปฏิบัติงาน การยอมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ตามลำดับ 1.4 ด้านระบบการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง 3 อันดับแรกได้แก่ ปริมาณงานที่มีมากเกินจำนวนผู้ปฏิบัติระบบการทำงานที่มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน และระดับของการมีผู้บังคับบัญชามาก ทำให้ยากในการที่จะปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว ตามลำดับ 1.5 ด้านการส่งเสริมสนับสนุนของผู้บริหาร มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง 3 อันดับแรก ได้แก่สนับสนุนเรื่องบุคลากรที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน สนับสนุนในเรื่องการอบรมให้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน และสนับสนุนเรื่องการศึกษาดูงานการศึกษาต่อ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำงาน ตามลำดับ 2. แนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 2.1 ความสามารถในการปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานเมื่อมีปัญหาในการปฏิบัติงาน ควรจัดให้มีการประชุมแต่ละกลุ่มงานทุกเดือน เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อรับทราบถึงปัญหาในการทำงานและหาแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อสร้างความสามัคคีและการทำงานเป็นทีม 2.2 การยอมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน การจัดอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในองค์กร โดยมีการทำกิจกรรมร่วมกัน แทรกเนื้อหาความรู้การพัฒนาองค์กร มีกระบวนการละลายพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิรบารมีเพื่อการบรรลุตามเป้าหมายในการพัฒนาการทำงานที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิรบารมี 2.3 การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน จัดตั้งชมรมจิตอาสา ธนาคารความดี เพื่อทำความดีถวายในหลวง ซึ่งเจ้าหน้าที่มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันและร่วมมือร่วมใจกันทำความดี ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมส่งผลให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการจัดการสารสนเทศของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภานุพันธุ์ พิลึก; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; นิคม นาคอ้ายแนวทางการจัดการสารสนเทศของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร มีจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษาปัญหาของการใช้ข้อมูลสารสนเทศในการบริหารจัดการ และเพื่อการนำเสนอแนวทางการจัดการสารสนเทศ ของเทศบาลตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร การวิจัยครั้งนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งหมด 37 คน โดยการใช้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม จำนวน 30 คน และให้สัมภาษณ์จำนวน 7 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหาแล้วสังเคราะห์เป็นแนวทางโดยดำเนินการประเมินความเหมาะสมของแนวทางการจัดการสารสนเทศ ผลการวิจัยพบว่า การบริหารจัดการสารสนเทศด้านฐานข้อมูล มีปัญหาในระดับมาก ด้านระบบ Web Site ของเทศบาลไม่เป็นปัจจุบันเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสร ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ และไม่มีการจัดหมวดหมู่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยในการบริหาร การบริหารจัดการสารสนเทศด้านทรัพยากร มีปัญหาอยู่ในระดับมาก ในด้านบุคลากรขาดความรู้และทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ ผู้บริหารของเทศบาลขาดความรู้ความชำนาญระบบสารสนเทศ และบุคคลไม่ให้ความสำคัญในการจัดระบบสารสนเทศ การบริหารจัดการสารสนเทศด้านกระบวนการ มีปัญหาอยู่ในระดับมาก มีปัญหาในการไม่มีการบำรุงรักษา อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ ขาดการปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศของเทศบาลอย่างต่อเนื่อง และไม่มีการสำรวจความต้องการและพัฒนาบุคลากรในการระบบสารสนเทศ โดยมีแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการสารสนเทศ ดังนี้ ปัญหาด้านฐานข้อมูล จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลให้ทันต่อเวลา จัดระบบการรักษาข้อมูล และผู้บริหารจำเป็นต้องจัดหาบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ ให้เพียงพอ ปัญหาด้านทรัพยากร ผู้บริหารต้องตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาให้มีความรู้ ความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์การจัดระบบสารสนเทศ ปัญหาด้านกระบวนการ จัดทำแผนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ จัดหาโปรแกรมประมวลผลข้อมูล และแผนพัฒนาบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาในกองพลพัฒนาที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ศิลปานันต์ ลำกูล; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; เลอพงศ์ ศรีสรรพางค์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพความรู้ความเข้าใจการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาของกองพลพัฒนาที่ 3 และการนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาของพลพัฒนาที่ 3 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรของกองกลพัฒนาที่ 3 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริ โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน และโครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองชายแดน ทั้งข้าราชการทหารระดับนายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตร จำนวน 136 คน ในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาบุคลากรของกองพลพัฒนาที่ 3 ที่ดำเนินการในปัจจุบันมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการสรรหาบุคลากรเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลากร โดยจัดให้มีการปฐมนิเทศก่อนการปฏิบัติงาน และระหว่างการปฏิบัติงานได้มีการส่งบุคลากรเข้าอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องบางเรื่อง ซึ่งเป็นไปตามหลักการของการพัฒนาบุคลากรทั่วไป แต่เมื่อมองถึงเรื่องการเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาทักษะและความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานนั้น น่าจะไม่เพียงพอ 2. รูปแบบที่นำเสนอประกอบด้วย การปฐมนิเทศและการฝึกอบรมก่อนการปฏิบัติงานเป็นเวลา 7 วัน ในเรื่องโครงการที่ปฏิบัติ สายการบังคับบัญชา หลักการปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการพัฒนาของกองทัพบก แผนการปฏิบัติงานในรอบปีงบประมาณ การพัฒนาชุมชน กระบวนการพัฒนาชุมชน การศึกษาชุมชน การประชาสัมพันธ์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการแนวคิดในการพัฒนา วิทยากรกระบวนการ การจัดเวทีประชาคม และการลงฝึกปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ ตลอดจนการทำการประเมินผล และสรุปผลการฝึกอบรม หลังจากนั้นชุดปฏิบัติการจะลงสู่พื้นที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามภารกิจ โดยเมื่อปฏิบัติงานทุกห้วงเวลา 3 เดือน ชุดปฏิบัติการจะกลับเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เป็นเวลา 3วันเพื่อแถลงผลและวิเคราะห์การปกิบัติงานที่ผ่านมารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาค ที่ 3.2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ดวงพร สุขุประการ; สุเมธ แสงนาทร; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและนำเสนอแนวทางในการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 รวม 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้า ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านระบบการทำงาน และด้านการส่งเสริมและสนุนสนุนของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานของศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 จำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาในการทำงานของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 มี ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การบันทึกข้อมูลหรือการจัดทำฐานข้อมูลสถิติเหตุเสียและประวัติการซ่อมบำรุง การปฏิบัติงานใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และการปรับปรุงฐานข้อมูลการแก้ไขติดตั้งเคเบิล ตามลำดับ 1.2 ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรกได้แก่ ความก้าวหน้าเรื่องเงินเดือนที่ไดรับเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่ปฏิบัติ ความก้าวหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ให้ดีขึ้นตามความสามารถ และความก้าวหน้าในเรื่องเงินเดือนที่ได้รั้บเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ ตามลำดับ 1.3 ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานเมื่อประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อร่วมงาน ตามลำดับ 1.4 ด้านระบบการทำงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ ปริมาณงานที่มีมากเกินจำนวนผู้ปฏิบัติงาน ระดับของการบังคับบัญชามีมากทำให้ยากในการที่จะปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว และระบบการทำงานที่มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตามลำดับ 1.5 ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนของผู้บริหาร มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนการจัดให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงาน ให้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน การจัดสรรอุปกรณ์ของใช้จากหน่วยสนับสนุนด้วยความรวดเร็ว และการอบรมให้มีความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2. แนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลุกค้าภูมิภาคที่ 3.2 แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านระบบการทำงาน โดยลลดความสลับซับซ้อนของหน่วยงาน ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน ลดเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมการ การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการปฏิบัติงาน การใช้วิธีการป้องกันมากกว่าแก้ไข การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ปฏิบัติงานมาเป็นผู้ควบคุมงาน และด้านบุคลากร โดยการจัดอบรมให้กับพนักงานและการชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับพนักงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วัชรพล จันทเดช; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน 2) กำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคระกรรมการกองทุนชุมชน 3) ทดลองการใช้กลยุทธ์โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานก่อและหลังการใช้กลยุทธ์ 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กองทุนชุมชนที่มีปัญหาในการบริหารจัดการมากที่สุด จำนวน 1 ชุมชน โดยผู้วิจัยเลือกกองทุนชุมชนอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (A) ตามเกณฑ์ชี้วัดระดับกองทุนชุมชนเมืองรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มใช้แบบสอบถามแบบไม่มีโครงสร้าง ตรวจสอบแบบสามเส้า วิเคราะห์ข้อมูลแบบสรุปอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า กองทุนชุมชนมีปัญหาที่ต้องแก้ไขทันที่เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงินไม่ถูกต้องและไม่เป็นปัจุบัน ไม่มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ คณะกรรมการไม่มีการประชุมกันและติดตามผลการดำเนินงาน ผู้วิจัยได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำไปใช้กับคณะกรรมการกองทุนชุมชนที่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาปัญหาและสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 10 คน กลยุทธ์ ประกอบด้วยการชี้แจ้งทำความเข้าใจในการบริหารจัดการชุมชน และการประชุมวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกันผลการใช้กลยุทธ์ได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม 2549 กับเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2550 ด้วยการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน การตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้ และการประชุมและติดตามผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนชุมชน นอกจากนี้ยังมีการประเมินการใช้กลยุทธ์โดยใช้แบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์คณะกรรมการกองทุนชุมชนมีการตรวจสอบการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้โดยมาตรการที่ชัดเจนมีการประชุมและติดตามผลการดำเนินงาน และลูกหนี้มาชำระหนี้มากขึ้น กลยุทธ์มีความเหมาะสมในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรยางพารา จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุชาติ สานกิ่งทอง; ไพศาล ริ้วธงชัย; ทัศนีย์ ศิริวรรณการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานอุตสาหกรรมเกษตรยางพารา และศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรยางพารา จังหวัดพิษณุโลก โดยได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน 2 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ทำการศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกษตรยางพารา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนอุสาหกรรมเกษตรยางพารา จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลบริบทอุตสาหกรรมยางพาราจากเอกสาร การสัมภาษณ์ หน่วยงานราชการ และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรยางพาราทั้งใน และนอกจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มเกษตรกรสวนยางพารา จังหวัดพิษณุโลก โดยทำการสัมภาษณ์เชิงลึก ในด้านสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของจังหวัดพิษณุโลก ด้านสภาพการปลูกยางพาราในจังหวัดพิษณุโลก ด้านการตลาด ด้านการผลิต ด้านการเงิน และด้านการบริหารจัดการ เพื่อนำเสนอข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรยางพารา จังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า สภาพพื้นที่ภูมิประเทศและภูมิอากาศจังหวัดพิษณุโลก บริเวณเขตอำเภอนครไทย อำเภอชาติตระการ อำเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอำเภอวัดโบสถ์ มีความเหมาะสมในการปลูกยางพารา เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมแก่ยางพารา และในปัจจุบันมีการส่งเสริมการปลูกยางพาราในพื้นที่ดังกล่าวเป็นจำนวน 44,777 ไร่ ซึ่งในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าจังหวัดพิษณุโลกจะมีศักยภาพในการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรยางพาราเชิงพาณิชย์ได้โดยเริ่มต้นที่กำลังการผลิต 40 ตันต่อวัน ราคายางพาราแผ่นดิบรมควันชั้น 3 จะ อยู่ที่ราคา 76 – 78 บาทต่อกิโลกรัม และการลงทุนจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรยางพาราในจังหวัดพิษณุโลก จะใช้เงินทุนประมาณ 72,792,000 บาท และในอีก 10 ปีข้างหน้ากำลังการผลิตจะเป็น 100 ตันต่อวัน โดยราคายางพาราแผ่นดิบรมควันชั้น 3 จะอยู่ที่ราคา 80-90 บาทต่อกิโลกรัม และคาดหวังว่าจะต้องใช้เงินลงทุน 12,399,200 บาท โดยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน 20.90% และระยะเวลาการคืนทุน 8.84 ปีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรวุฒิ ด่วนเจริญศรี; พิทักษ์ อยู่มี; อนงค์นาฏ คงประชาการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรับรู้และแนวทางเรื่องสารปนเปื้อนที่ตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้า ที่ประกอบการจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านอาหาร ร้านแผงลอย ในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ ในช่วงเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมกราคม 2553 จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดย วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Analysis) สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (X̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่า: 1.การรับรู้สารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการ ได้แก่ กรรมการตลาดสดเทศบาลควรหมั่นตรวจตราการจัดวางสินค้าให้ปลอดภัย การจัดวางสินค้าให้ปลอดภัยจากพาหะของเชื้อโรค และมีอุปกรณ์ป้องกันสินค้า ไม่ให้เบื้องแต่และออง จัดให้ความรู้ในด้านกระบวนการเลือกเพ็มสินค้าที่นำมาจำหน่าย จัดให้ความรู้แก่ผู้จำหน่ายสินค้าในด้านการหมั่นสังเกตสินค้าที่ผลิตหรือจำหน่าย จัดให้ความรู้ในด้านการศึกษาถึงแหล่งผลิตสินค้าที่จำหน่ายได้มาตรฐาน จัดอบรมผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้สารปนเปื้อนในอาหารในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ สร้างความตระหนักให้ผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตอาหารได้สะอาดปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายควรตรวจสอบสินค้าที่จำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ จัดระบบและการจัดเก็บสินค้าให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน จัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารปนเปื้อนโดยภาคราชการ ภาคราชการให้ข้อมูลจากสารเกี่ยวกับสารปนเปื้อนอย่างสม่ำเสมอ มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหาร และควรมีการกำหนดโทษปรับสำหรับอาหารที่ปนเปื้อนเกินกว่ามาตรฐานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพครูด้านทักษะการดำรงชีวิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศิริสุภา เอมหยวก; ลำยอง สำเร็จดี; เจนต์ คันทะรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) นพคุณ ถาวรกูล; วงศกร เจียมเผ่าการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา เพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา และใช้เป็นแนวทางในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดินในอนาคตเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้สุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และที่ระดับความคลาดเคลื่อน ±5% ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมคือ 223 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยนำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน โดยการหาค่าสถิติทดสอบ (t-test) และหาค่าสถิติทดสอบ (F-test) ผลการวิจัย พบว่า 1.ความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ทั้งหมด 7 ด้าน อยู่ในระดับมาก สำหรับผลการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านศาสนา และรองลงมาคือ ด้านอาชีวะบำบัด ด้านกายภาพบำบัด ด้านนันทนาการ ด้านการแพทย์และอนามัย ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านฌาปนกิจ 2.เปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา พบว่า ปัจจัยด้านอาชีพ และลักษณะการอยู่อาศัย มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้าน เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ ไม่มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา 3.แนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เมื่อมีการจัดตั้งสถานสงเคราะห์แล้ว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวัง และความต้องการมากที่สุดให้มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกเช้าและก่อนนอน รวมทั้งควรจัดให้มีกิจกรรมทางศาสนา เช่น การฟังเทศน์ การนั่งสมาธิ ทุกวันพระรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) อำนวย รุ่งแจ้ง; พัฒนพันธ์ เขตดำันการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดน: กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่จำนวน 263 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน นำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากวิธีการการสัมภาษณ์จำนวน 16 คน และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาแล้วสรุปผลเป็นความเรียง ผลการวิจัยพบว่า: 1.สภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ทั้งหมด 6 ด้าน พบว่าในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านสภาพแวดล้อมภายในองค์กร และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านความพึงพอใจ ด้านแนวทางการปรับปรุงในอนาคต ด้านการสร้างขวัญกำลังใจ และด้านงบประมาณ 2.เปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร แจกแจงตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ส่วนระดับการศึกษา อาชีพ ไม่มีผลต่อสภาพปัญหาและภารกิจของกองอาสารักษาดินแดนต่อการให้บริการประชาชน : กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร 3.แนวทางในการปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดน: กรณีศึกษาในเขตจังหวัดพิจิตร ที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 15 คน พบว่า การปฏิบัติงานในอนาคตของกองอาสารักษาดินแดนนั้น ควรมีการจัดแบ่งสายงานให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการมีสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน มีกำลังพลที่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ มีอุปกรณ์เครื่องมือที่พร้อมในการทำงานและมียานพาหนะในการออกปฏิบัติงานเร่งด่วน เพราะในยุคปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า สังคมโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรของกองอาสารักษาดินแดนจะต้องมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้น มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรสามารถฝึกทักษะ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่เกิดความเชี่ยวชาญในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการตระหนักและใส่ใจในเรื่องการให้บริการแก่ประชาชนที่เน้นความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด