มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) นริศรา บำยุทธิ์; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 2) ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 3) แนวทางการส่งเสริมการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและ เฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างจากการกำหนดขนาดด้วยสูตรสำเร็จรูปของ “Taro Yamane” ที่จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาหาค่าแจกแจงความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานหาค่า t-test และ F-test One-Way ANOVA สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informant) จำนวน 10 คน โดยผลการวิจัยสรุปว่า 1. ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านปัจจัยสนับสนุนทางสังคม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก (r = .845**) การรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง (r = .458**) และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของ อสม. มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง (r = .513**) 3. แนวทางการส่งเสริมการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 คือควรมีการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สามารถดูแลตนเองและเป็นที่พึ่งต่อคนในครอบครัวและประชาชนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดการสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรงในการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโรคติดต่ออื่นๆ ในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไปรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศึกษากรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) อัจฉราวดี แก้วพันธ์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเนื่องมาจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กำหนดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมุ่งวิเคราะห์การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างมีประสิทธิผล การระบุหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือกระบวนการดังกล่าวพยายามที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมและความเสมอภาคในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษ ขณะเดียวกันก็ให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม วิธีการศึกษาประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนแรกเป็นการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจและความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งคำสั่งทางปกครอง การเพิกถอนคำสั่ง การดำเนินการทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ความรับผิดของรัฐ และแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนต่อมาเป็นศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขความเสียหายอันเป็นผลจากการลงโทษทางวินัยที่ไม่เป็นธรรม ทั้งภายใต้กฎหมายไทยและกรอบกฎหมายต่างประเทศ โดยการดำเนินการศึกษานี้ในต่างประเทศ เรามุ่งหวังที่จะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และบทบัญญัติทางกฎหมายที่ครอบคลุมการเยียวยาความเสียหายในกรณีดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องได้รับความสูญเสียทั้งทางการเงินและไม่ใช่ทางการเงิน รวมถึงสูญเสียผลประโยชน์ด้วย สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐจะชดเชยเยียวยาความเสียหายดังกล่าวอย่างไร ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่กำหนดวิธีการและรายละเอียดการชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ การขาดความชัดเจนนี้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของรัฐในการรับรองความเป็นธรรม สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สำนักงาน ก.พ. ได้ออกระเบียบที่กำหนดกระบวนการเยียวยาชดเชยสำหรับผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติบังคับเพื่อชดเชยเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย หลักเกณฑ์และวิธีการที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกลงโทษให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าในหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาที่เหมาะสมแก่ข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบที่ครอบคลุมแนวปฏิบัติจากต่างประเทศและระเบียบ ก.พ.ค.ว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องทุกข์ หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยยึดหลักความยุติธรรม ทำให้เราสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเยียวยากรณีต่าง ๆ แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนได้ การพิจารณาสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย และกำหนดกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่สนับสนุนสิทธิในการได้รับการเยียวยาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเสนอให้มีการออกกฎระเบียบภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะสรุปหลักเกณฑ์และวิธีการเฉพาะในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง กรอบนี้ควรให้ความชัดเจนและแน่นอนเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าชดเชยที่ควรจัดสรร และ การเยียวยาในด้านต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายของข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รุ่งเรือง มั่นคำ; นงลักษณ์ ใจฉลาดงานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมาย 1) ศึกษาสภาพการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย 2 จำนวน 118 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาหรือครูวิชาการ รวมจำนวน 162 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ศึกษาแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย มีดังนี้ 1. การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการวางแผนและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการปรับปรุง 2. สำหรับการพัฒนาการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา ควรมีการวิเคราะห์ผลจากการประเมินในปีผ่านมา ทบทวนและปรับปรุงโดยใช้มาตรฐานโครงการอ่านออกเขียนได้ ของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การสังเคราะห์รายงานการวิจัยจากแหล่งทุนภายในและภายนอกประจำปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2561) นฤพล สิงห์กลื่น; วิมล ทองตอนกลิ้ง; ปัญณวิชย์ โบกุหลาบ; อุเทน ปุ่มสันเทียะ; ปิยวดี น้อยน้ำใสงานวิจัยเรื่อง การสังเคราะห์รายงานการวิจัยจากแหล่งทุนภายในและภายนอกประจำปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อสังเคราะห์สถานภาพงานวิจัยจากแหล่งทุนภายในและภายนอกประจำปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 2. เพื่อติดตามประเมินผลการนำไปใช้ประโยชน์ของงานวิจัย 3.เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลงานวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ จำนวนงานวิจัยของนักวิจัยสายวิชาการและสายสนับสนุนที่ทำวิจัย จากแหล่งทุนภายในและภายนอกประจำปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่อยู่ในฐานข้อมูล จำนวน 193 เรื่อง การเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินคุณภาพงานวิจัย ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยวิธีการทางสถิติ บรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ตารางประกอบ ผลการวิจัย พบว่า คุณภาพงานวิจัยตั้งแต่ปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 คุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.56 พื้นที่ในการทำวิจัยจังหวัดพิษณุโลกมีการทำวิจัยเยอะที่สุด ร้อยละ 84.02 ในด้านที่ได้คะแนนการประเมินมากที่สุดคือ ด้านความชัดเจนในปัญหาการวิจัย สมมุติฐานข้อตกลง ความจำกัดของการวิจัย ความสมบูรณ์ของการวิจัย คุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.71 และการนำไปใช้ประโยชน์ของงานวิจัยถูกใช้ในด้านการศคกมาบากที่สุด เท่ากับร้อยละ 56.99 ซึ่งจากผลดังกล่าวคุณภาพของงานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ประจำปีงบประมาณพุทธศักราช 2556 ถึง 2560 มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก เท่ากับ 4.56รายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ถมทอง เผือกอ่อน; วิจิตรา จำลองราษฎร์; อรรถพล จรจันทร์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี การรับรู้ความเสี่ยงและการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ กับการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ประชากรคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีอยู่ในระดับมากที่สุด การรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง และการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนเพศ อายุ และรายได้ที่แตกต่างกันมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แตกต่างกัน สำหรับการวิเคราะห์อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า การยอมรับเทคโนโลยีมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการรับรู้ความเสี่ยงไม่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ถูกต้องร้อยละ 24.20รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์โครงการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556-2558 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ศิรินทร์ ทิมจันทร์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) รุ่งโรจน์ ฝ้ายเยื่อ; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ 2.เพื่อพัฒนารูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ และ 3.เพื่อประเมินรูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้นำนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏจำนวน 620 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบวัดภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ตามแนวคิดของ Robert K.Greenleaf วิเคราะห์และตรวจสอบองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองด้วยโปรแกรม Mplus ผลการวิจัย พบว่า 1.องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องกลมกลืนประกอบด้วย Chi-Square = 2239.213, df= 727, p-value=0.000, CFI=0.971, TLI=0.969, RMSEA=0.058 และ WRMR= 1.440 2.รูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้ พัฒนาทักษะและคุณลักษณะ การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อมเนื้อหาของหลักสูตรฝึกอบรม แบ่งเป็น 4 หน่วยเรียนรู้ คือ 1)ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้, 2)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “เข้าใจ”, 3)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “เข้าถึง”,และ 4)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “พัฒนา” 3. ผลการประเมินรูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ระดับคุณภาพความเหมาะสมของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.63) และระดับคุณภาพความเป็นไปได้ของรูปแบบมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.55)รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) จิราภรณ์ เอมเอี่ยม; วิราพร พงศ์อาจารย์; บุญรักษ์ ดัณฑ์เจริญรัตน์; เตือนใจ เกียวซีรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ซี่งมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ (1) เพื่อศึกษาปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (3) เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 400 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก โดยรวมพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.06) เมือแยกเป็นรายด้าน พบว่า การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลเป็นผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) ด้านการมีส่วนร่วมลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) และด้านการมีส่วนร่วมในการติดตามข้อมูลข่าวสารการเมืองระดับท้องถิ่น (x̄ = 3.62) และการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมการติดตามตรวจสอบโครงการ (x̄ = 2.39) และด้านการมีส่วนร่วมตรวจสอบแผนพัฒนา 3 ปี (x̄ = 2.10) ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก (2) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำประชาคม ประชาวิจารณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับปานกลาง (3) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคัดเลือกบุคคลเป็นตัวแทนและลงคะแนนเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (4) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย (5) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและติดตามแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย
