มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด กระบวนการเรียนรู้ทักษะวิชาคีตปฏิญาณของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรดนตรีสากล มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) กมลธรรม เกื้อบุตรรายการ เมทาเดทาเท่านั้น กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพครูด้านทักษะการดำรงชีวิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศิริสุภา เอมหยวก; ลำยอง สำเร็จดี; เจนต์ คันทะรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลวิภัชนีย์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ยุพร ริมชลการ; พงษ์พันธ์ จุลทาการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยทำการแนะนำแนวคิด △-กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ไอดีลภายในวิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัยของกึ่งกรุปซึ่งเป็นนัยทั่วไปของ (∈, ∈∨q)- กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลขวาวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่ วางนัยทั่วไปวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่วิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลภายในวิภัชนัย (∈, ∈∨q) ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ (∈, ∈∨q)-ไอดีลวิภัชนัย ตามลำดับ พร้อมกับจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาในกองพลพัฒนาที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ศิลปานันต์ ลำกูล; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; เลอพงศ์ ศรีสรรพางค์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพความรู้ความเข้าใจการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาของกองพลพัฒนาที่ 3 และการนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาของพลพัฒนาที่ 3 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรของกองกลพัฒนาที่ 3 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริ โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน และโครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองชายแดน ทั้งข้าราชการทหารระดับนายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตร จำนวน 136 คน ในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาบุคลากรของกองพลพัฒนาที่ 3 ที่ดำเนินการในปัจจุบันมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการสรรหาบุคลากรเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลากร โดยจัดให้มีการปฐมนิเทศก่อนการปฏิบัติงาน และระหว่างการปฏิบัติงานได้มีการส่งบุคลากรเข้าอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องบางเรื่อง ซึ่งเป็นไปตามหลักการของการพัฒนาบุคลากรทั่วไป แต่เมื่อมองถึงเรื่องการเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาทักษะและความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานนั้น น่าจะไม่เพียงพอ 2. รูปแบบที่นำเสนอประกอบด้วย การปฐมนิเทศและการฝึกอบรมก่อนการปฏิบัติงานเป็นเวลา 7 วัน ในเรื่องโครงการที่ปฏิบัติ สายการบังคับบัญชา หลักการปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการพัฒนาของกองทัพบก แผนการปฏิบัติงานในรอบปีงบประมาณ การพัฒนาชุมชน กระบวนการพัฒนาชุมชน การศึกษาชุมชน การประชาสัมพันธ์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการแนวคิดในการพัฒนา วิทยากรกระบวนการ การจัดเวทีประชาคม และการลงฝึกปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ ตลอดจนการทำการประเมินผล และสรุปผลการฝึกอบรม หลังจากนั้นชุดปฏิบัติการจะลงสู่พื้นที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามภารกิจ โดยเมื่อปฏิบัติงานทุกห้วงเวลา 3 เดือน ชุดปฏิบัติการจะกลับเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เป็นเวลา 3วันเพื่อแถลงผลและวิเคราะห์การปกิบัติงานที่ผ่านมารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาค ที่ 3.2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ดวงพร สุขุประการ; สุเมธ แสงนาทร; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและนำเสนอแนวทางในการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 รวม 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้า ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านระบบการทำงาน และด้านการส่งเสริมและสนุนสนุนของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานของศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 จำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาในการทำงานของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 มี ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การบันทึกข้อมูลหรือการจัดทำฐานข้อมูลสถิติเหตุเสียและประวัติการซ่อมบำรุง การปฏิบัติงานใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และการปรับปรุงฐานข้อมูลการแก้ไขติดตั้งเคเบิล ตามลำดับ 1.2 ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรกได้แก่ ความก้าวหน้าเรื่องเงินเดือนที่ไดรับเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่ปฏิบัติ ความก้าวหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ให้ดีขึ้นตามความสามารถ และความก้าวหน้าในเรื่องเงินเดือนที่ได้รั้บเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ ตามลำดับ 1.3 ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานเมื่อประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อร่วมงาน ตามลำดับ 1.4 ด้านระบบการทำงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ ปริมาณงานที่มีมากเกินจำนวนผู้ปฏิบัติงาน ระดับของการบังคับบัญชามีมากทำให้ยากในการที่จะปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว และระบบการทำงานที่มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตามลำดับ 1.5 ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนของผู้บริหาร มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนการจัดให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงาน ให้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน การจัดสรรอุปกรณ์ของใช้จากหน่วยสนับสนุนด้วยความรวดเร็ว และการอบรมให้มีความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2. แนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลุกค้าภูมิภาคที่ 3.2 แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านระบบการทำงาน โดยลลดความสลับซับซ้อนของหน่วยงาน ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน ลดเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมการ การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการปฏิบัติงาน การใช้วิธีการป้องกันมากกว่าแก้ไข การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ปฏิบัติงานมาเป็นผู้ควบคุมงาน และด้านบุคลากร โดยการจัดอบรมให้กับพนักงานและการชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับพนักงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอมรินทร์ลากูน พิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ผกามาศ อินทร์ตลาดชุม; ถาวร พงษ์พานิช; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า 2) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า และ3) ประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก การศึกษาครั้งนี้ศึกษากับประชากร ได้แก่ ผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หัวหน้าฝ่ายงานของแผนกต้อนรับส่วนหน้า และพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูล พิษณุโลก จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพการปฏิบัติงานบริการ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่า 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8971 แบบบันทึกการแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.8971 แบบบันทึกการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย() ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน()และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติงานบริการภาพรวมของทุกฝ่ายอยู่ในระดับพอใจ 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านบุคลิกภาพ ควรเปลี่ยนแบบฟอร์มพนักงานใหม่ ดูแลกวดขั้นการแต่งกายให้ถูกระเบียบ จัดสวัสดิการเครื่องประดับสำหรับพนักงานอาคันตุกะสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับแบบฟอร์ม และมีการรณรงค์การปฏิบัติงานด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ควรจัดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะในการปฏิบัติงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น แจ้งข้อมูล และจัดหาเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลจังหวัดใกล้เคียงเส้นทางเทศกาล หรือเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนล่วงหน้า จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเรียกดูหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับพนักงานรับโทรศัพท์ มีการประเมินการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินย้อนกลับสู่พนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้บริการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ควรมีการทำสังคมมิติในกลุ่มพนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้ 3. หัวหน้างานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก มีความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาชุมชนหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สุมาลี อินทอง; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; นิพันธ์ ประทุมศิริการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชุมชรหนอกปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดยศึกษาจากประชากรทั้งหมด 680 คน แล้วทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการ Snowball Sampling ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 228คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เครื่องบันทึกเสียง สมุดจด วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาและเรียบเรียงวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทฤษฎี และนำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่มีการพัฒนาเหมืองฝายเพื่อสร้างผลผลิตทางหารเกษตรให้มากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ชาวบ้านนั้นยากจนลงและมีหนี้สิ้นเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ 2. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่เริ่มมีความสัมพันธ์กันลดลงเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มโยกย้ายถิ่นฐานของตนเองเข้าสู่เมืองทำให้เกิดความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนเริ่มสั่นคลอนลง 3. ภาครัฐให้การกระตุ้นชาวบ้านทั้งยังจัดโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้ชาวบ้านต้องกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านนั้นจำนองจำนำและขายพื้นที่กินในที่สุด 4. เอกชนจัดบริการเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการทำการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวบ้านให้รวดเร็วและทันต่อความต้องการในการใช้จ่ายให้มากที่สุด ผลคือ ชาวบ้านมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านนั้นยากจนลงและติดหนี้สิน 5. แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการลดค่าใช้จ่าย เสริมสร้างรายได้ ประหยัด การพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือกัน การดำรงชีวิตพึ่งตนเอง อยู่อย่างเพียงพอ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบริหารการศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2528) หาญชัย สงวนให้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบริหารและจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อการวิจัยเรื่อง การบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและแบบสำรวจการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบจำลองการบริหารและการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยปรับแต่งเป็นแบบสำรวจเพื่อใช้เก็บข้อมูลภาคสนามและแบบสอบถามที่นำไปเก็บข้อมูลจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้า บุคคลผู้ปฏิบัติงานในอุทยานฯ นักท่องเที่ยว ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า อุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้ามีความสามารถในการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับที่สูง มีเพียง 4 กิจกรรมเท่านั้นที่อุทยานฯยังไม่ได้ดำเนินการ ส่วนความสามารถในการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรในองค์กร, นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในเขตอุทยาน อยู่ในระดับดีพอสมควรทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแบบสำรวจและแบบสอบถามการบริหารและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะสามารถเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวรพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน : กรณีศึกษาเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) สุพัตรา เอี่ยมนาค; สุขสมาน สังโยคะการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวณพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน จากพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน ของเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเก็บตัวอย่างหน้าดินจากพื้นที่กำจัดขยะ พบว่าดินมีการปนเปื้อนของตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็กเท่ากับ 235.94 271.55 18.06 602.06 และ 3,863.61 มิลลิกรัม/กิโลกรัม การศึกษานี้จะเปรียบเทียบความสามารถในการบำบัดโลหะหนักเมื่อใช้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ดาวเรือง มะเขือ และหญ้าแฝก การทดลองทำในระดับห้องปฏิบัติการ และทำการเพาะเมล็ดพืชเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายพืชมาปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ทำการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักทุกๆ 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ จากนั้นเก็บเกี่ยวพืชมาทำการวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักที่สะสมในส่วนประกอบต่างๆ ของพืช ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็ก ในชุดการทดลองดาวเรืองลดลง 45.81% 19.96% 47.54% 50.90% และ 46.69% มะเขือลดลง 20.67% 50.14% 71.76% 51.59% และ 49.29% หญ้าแฝกลดลง 14.62% 45.12% 45.09% 51.37% และ 50.73% ตามลำดับ ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดโลหะหนักของพืช พบว่า ดาวเรืองมีคุณสมบัติในการบำบัดแคดเมียมได้ดีที่สุด รองลงมาคือ สังกะสี เหล็ก ทองแดง และตะกั่ว มะเขือบำบัดเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือสังกะสี ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว หญ้าแฝกบำบัดสังกะสีได้ดีที่สุด รองลงมาคือเหล็ก ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว สำหรับการสะสมโลหะหนักในส่วนต่างๆ ของพืช การสะสมโลหะหนักทั้ง 5 ชนิด มีแนวโน้มคล้ายคลึงกันคือ มีการสะสมโลหะหนักสูงสุดในราก รองลงมาคือใบ ลำต้น และ ดอก/ผล ตามลำดับ และในสภาวะที่มีการเติมสารก่อคีเลตหรืออีดีทีเอลงไปในดินช่วยส่งเสริมให้การบำบัดโลหะหนักด้วยพืชเกิดได้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) เกศรา เจริญกุล; วิราพร พงษ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; เกษม บุญโญการศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามในด้านความพร้อมของปัจจัยเบื้องต้นที่สนับสนุนการจัดการศึกษา ความเหมาะสมของกระบวนการ และผลผลิตของการจัดการศึกษากลุ่มตัวอย่างใช้ในการประเมินได้แก่ มหาบัณฑิต นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ผู้สอนหรือคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิต จำนวน 113 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลสถิติใช้สถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินการจัดการศึกษาด้านความพร้อมของปัจจัยที่สนับสนุนการศึกษาทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านส่วนใหญ่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากยกเว้นในเรื่อง การใช้สื่อและอุปกรณ์การสอนและการมีเวลาให้คำปรึกษาแก่นักศึกษานอกชั้นเรียนอยู่ในระดับปานกลาง การประเมินกระบวนการในการจัดการศึกษา ในภาพรวมและเป็นรายด้านมีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ยกเว้นเรื่อง การจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิต ทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิต และนักศึกษาเกี่ยวกับความพร้อมด้านปัจจัย พบว่าส่วนใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติส่วนด้านบุคลากรในสำนักงานวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ ไม่แตกต่างกัน 4. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิตและนักศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมด้านกระบวนการทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน 5.ผลการเรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิตความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานของมหาบัณฑิตทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านแตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคตรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การปลดปล่อยและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากนาโนอาร์บูตินครีม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) วิษณุ ธงไชย; พิชัย พูลประเสริฐ; เฉลิมพร ทองพูน; ยุทธศักดิ์ แช่มมุ่ย; ศิริรัตน์ พันธ์เรืองรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การผลิตถั่วเหลืองหมักที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงด้วยราโมแนสคัสเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) เกตุการ ดาจันทา; อุทัยวรรณ จัศรธงงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกราโมแนสคัสที่เหมาะสมในการหมักถั่วเหลืองให้มี monacolin K สูงและสาร citrinin ต่ำ หลังจากนั้นได้ศึกษากระบวนการหมักถั่วเหลืองที่เหมาะสมโดยบ่มถั่วเหลืองที่อุณหภูมิ 25 30 และการเปลี่ยนอุณหภูมิจาก 30 เป็น 25 องศาเซลเซียสระหว่างการหมัก นาน 20 วัน ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในถั่วเหลืองหมัก ได้แก่ วงควัตถุ, monacolin K, citrinin, phenolic compounds และ isoflavones นอกจากนี้ยังได้ตรวจวิเคราะห์ฤทธิ์ด้านออกซิเดชันด้วยวิธี DPPH radical-scavenging effect และ ferric reducing antioxidant power (FRAP) ในถั่วเหลืองหมักอีกด้วย ผลการศึกษาพบว่าถั่วเหลืองที่หมักด้วยรา Monascus sp. PSRU03 มีปริมาณของสาร monacolin K สูงที่สุด (29.98 mg/kg DM) เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ PSRU05, PSRU08 และ PSRU10 (6.83 – 17.76 mg/kg DM) และพบ citrinin ในปริมาณต่ำ สำหรับการศึกษากระบวนการหมักพบว่าถั่วเหลืองที่หมักด้วยรา Monascus sp. PSRU03 ที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส นาน 20 วัน มีปริมาณของรงควัตถุและ phenolic compounds สูงที่สุด และถั่วเหลืองที่หมักนาน 15 วันมีฤทธิ์ด้านออกซิเดชัน DPPH radical-scavenging effect และ FRAP เพิ่มขึ้นสูงกว่าการบ่มถั่วเหลืองที่อุณหภูมิอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ถั่วเหลืองหมักโมแนสคัสอบแห้งที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส ตรวจพบปริมาณรงควัตถุและสมบัติการด้านออกซิเดชันสูงกว่าถั่วเหลืองหมักโมแนสคัสที่ผ่านการอบแห้งที่อุณหภูมิ 50 และ 60 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามปริมาณของสาร isoflavones รวม (daidzin+glycitin+genistin+daidzein+glycitein+genistein) ในถั่วเหลืองหมักอบแห้งทั้ง 3 อุณหภูมิมีค่าไม่แตกต่างกัน สาร isoflavones ที่พบในถั่วเหลืองหมักโมแนสคัสเกือบทั้งหมดเป็นชนิด aglucosides โดยพบ daidzein มากที่สุด (ร้อยละ 53-54 ของ isoflavones รวม) รองลงมาคือ genistein (ร้อยละ 36-38 ของ isoflavones รวม) และ glycitein (ร้อยละ 10 ของ isoflavones รวม) ถั่วเหลืองหมักโมแนสคัสที่ผลิตด้วยสภาวะที่เหมาะสมและผ่านการอบแห้งที่ 70 องศาเซลเซียส มีปริมาณของสาร monacolin K และ citrinin 38.87 และ 1.60 mg/kg DM ตามลำดับ งานวิจัยนี้พบว่ารา Monascus sp. PSRU03 มีศักยภาพในการนำมาผลิตถั่วเหลืองหมักที่อุดมด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด อย่างไรก็ตามการนำถั่วเหลืองหมักโมแนสคัสไปใช้ประโยชน์นั้นควรมีการตรวจสอบด้านความปลอดภัยจากสารพิษ citrinin ร่วมด้วยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การผลิตผงกล้าเชื้อ Bacillus subtilis TN51 เพื่อใช้หมัก ถั่วเหลือง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) จักรกฤษ แจ่มจันทร์; เกตุการ ดาจันทา; ปิยวรรณ ศุภวิทิตพัฒนางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการผลิตผงกล้าเชื้อ Bacillus subtilis TN51 สำหรับหมักถั่วเหลืองหมัก (ถั่วเน่า) โดยศึกษาอาหารเลี้ยงเชื้อเพื่อเพิ่มจำนวนเชื้อ B. subtilis ในเบื้องต้น และศึกษาอุณหภูมิในการบ่มเพาะเชื้อ กระบวนการผลิตผงกล้าเชื้อที่เหมาะสม และอายุการเก็บรักษาผงกล้าเชื้อ ผลจากการผลิตผงกล้าเชื้อพบว่าอาหารเลี้ยงเชื้อสูตรพื้นฐานที่เติมแป้งสาลีร้อยละ 40 (w/w) ช่วยเพิ่มจำนวน total viable count (TVC) และ spore count (SPC) หลังการบ่มที่อุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง การเติมแป้งสาลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอช่วยเพิ่มปริมาณกล้าเชื้อได้ดีกว่าการเติมแป้งสาลีที่ผ่านการอบจากตู้อบลมร้อน หลังการอบแห้งแป้งหมักกล้าเชื้อในตู้อบลมร้อนและบดให้เป็นผงละเอียดได้ผงกล้าเชื้อที่มีสปอร์จำนวน 7.71 log CFU/g และมีค่า water activity ต่ำกว่า 0.6 หลังการเก็บรักษาผงกล้าเชื้อในถุงพลาสติกใสและอลูมิเนียมฟอยส์ที่อุณหภูมิ 37 หรือ 4 องศาเซลเซียส นาน 90 วัน พบการเหลือรอดของสปอร์อยู่ในช่วงร้อยละ 72 – 83 สำหรับการหมักถั่วเน่าด้วยการเติมผงกล้าเชื้อที่ผลิตได้ลงในถั่วเหลืองดิบลูก (BTN) และถั่วเหลืองที่นึ่งสุกด้วยหม้อนึ่งความดันไอ (ATN) ในปริมาณร้อยละ 0.1 (w/w) และบ่มที่อุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง และหมักถั่วเน่าแบบพื้นบ้าน (CTN) เป็นชุดควบคุม ผลการศึกษา พบว่า ถั่วเน่า ATN มีการเพิ่มขึ้นของ TVC, SPC, ค่า pH, น้ำตาลรีดิวซ์และน้ำตาลทั้งหมดสูงกว่าถั่วเน่า BTN และ CTN นอกจากนี้ยังตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อยีสต์และรา, E. coli, S. aureus และ B. cereus ในปริมาณต่ำอีกด้วยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคระกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) นพดล เหล่ากอ; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิดคือ แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกทั้ง 3 กองทุน จำนวน 333 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ดำเนินการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 มาสังเคราะห์โดยอิงทฤษฎีการบริหารและหลักธรรมาภิบาล มาร่างเป็นกระบวนการบริหารจัดการกองทุน ประเมินคุณภาพกระบวนการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรฐานการประเมินที่พัฒนา STUFFLEBEAM และคณะ โดยการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เป็นการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนบ้านพักอาศัย 4 เขต แบ่งออกเป็น 3 กองทุน การจัดตั้งกองทุน การคัดเลือกกรรมการ และการมอบหมายหน้าที่ของกรรมการ เป็นการแต่งตั้งด้านการบริหารจัดการกองทุนปัญหาอยู่ในระดับมาก คือด้านหลักการมีส่วนร่วม และด้านที่มีระดับปัญหาน้อย คือด้านหลักนิติธรรม การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุน มีการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนหน่วยงานที่ใกล้เคียงกัน มีการประชุมจัดตั้งกองทุน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานมีการเลือกตั้งคณะกรรมการ และหมอบหมายหน้าที่ มีการประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงาน การพัฒนาคุณภาพของกระบวนการบริหารจัดการกองทุน พบว่า ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วัชรพล จันทเดช; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน 2) กำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคระกรรมการกองทุนชุมชน 3) ทดลองการใช้กลยุทธ์โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานก่อและหลังการใช้กลยุทธ์ 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กองทุนชุมชนที่มีปัญหาในการบริหารจัดการมากที่สุด จำนวน 1 ชุมชน โดยผู้วิจัยเลือกกองทุนชุมชนอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (A) ตามเกณฑ์ชี้วัดระดับกองทุนชุมชนเมืองรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มใช้แบบสอบถามแบบไม่มีโครงสร้าง ตรวจสอบแบบสามเส้า วิเคราะห์ข้อมูลแบบสรุปอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า กองทุนชุมชนมีปัญหาที่ต้องแก้ไขทันที่เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงินไม่ถูกต้องและไม่เป็นปัจุบัน ไม่มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ คณะกรรมการไม่มีการประชุมกันและติดตามผลการดำเนินงาน ผู้วิจัยได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำไปใช้กับคณะกรรมการกองทุนชุมชนที่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาปัญหาและสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 10 คน กลยุทธ์ ประกอบด้วยการชี้แจ้งทำความเข้าใจในการบริหารจัดการชุมชน และการประชุมวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกันผลการใช้กลยุทธ์ได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม 2549 กับเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2550 ด้วยการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน การตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้ และการประชุมและติดตามผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนชุมชน นอกจากนี้ยังมีการประเมินการใช้กลยุทธ์โดยใช้แบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์คณะกรรมการกองทุนชุมชนมีการตรวจสอบการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้โดยมาตรการที่ชัดเจนมีการประชุมและติดตามผลการดำเนินงาน และลูกหนี้มาชำระหนี้มากขึ้น กลยุทธ์มีความเหมาะสมในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของ ศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) มนัส มากบุญ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สุภาพ รมณีย์พิกุล; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณวิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยและพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุน ต่อหน่วยบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนต่อหน่วยบริการและเสนอกลยุทธ์การบริหารต้นทุนของศูนย์สุขภาพชุมชนอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชนทั้งหมดในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 41 คน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ต้นทุนต่อหน่วยบริการจำแนกตามรายกิจกรรม ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง พบว่า กิจกรรมงานรักษาพยาบาล มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 74.18 บาท งานอนามัยแม่และเด็กมีต้นทุนต่อหน่วยเท่ากับ 297.21 งานวางแผนครอบครัว มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 169.44 บาท งาน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มีต้นทุนต่อหน่วยเฉลี่ย เท่ากับ 220.06 งานเยี่ยมบ้าน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 19.26 บาทงานอนามัย โรงเรียน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 472.27 บาท งานสุขาภิบาลและควบคุมโรค มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 782.62 บาท และงานทันตสาธารณสุข มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 726.69 บาท สัดส่วนของต้นทุนด้านค่าแรง ต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน เท่ากับ 299,348 : 205,148 : 155,419 หรือร้อยละ 45.36 : 31.09 : 23.55 การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยบริการเฉลี่ยจำแนกตามรายกิจกรรมของศูนย์สุขภาพชุมชนพบว่าทั้งศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีต้นทุนต่อหน่วยบริการไม่แตกต่างกัน คือ มีต้นทุนค่าแรงมากที่สุด รองลงมาคือต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน การพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพชุมชน พบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ใช้การพัฒนากลยุทธ์ผู้นำในค่าใช้จ่าย โดยเสนอกลยุทธ์ ลดค่าแรงเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ 3 วิธี คือ 1.การลดการอยู่บรรนอกเวลาลงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน 2.เจ้าหน้าที่ในศูนย์สุขภาพชุมชนลูกข่ายไปขึ้นเวรนอกเวลาในศูนย์สุขภาพชุมชนแม่ข่าย 3.การงดการอยู่เวรนอกเวลาทั้งหมด