คณะสังคมศาสตร์และการพัฒนาท้องถิ่น
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/163
ค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น กระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ทัศนีย์ ปัทมสนธิ์; อรุณี กาสยานนท์; กฤติมา อินทะกูลงานวิจัยเรื่องกระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย 2) เพื่อศึกษารูปแบบ ลักษณะ วิธีการ เครือข่าย การลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของไทย และ 3) เพื่อศึกษาและสังเคราะห์แนวทางป้องกันและปราบปรามการลักลอบการค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของไทย โดยเก็บข้อมูลจากแรงงานต่างด้าวที่เป็นผู้ใช้แรงงานในภาคการประมงของไทย ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและระนอง จํานวน 114 คนด้วยแบบสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึกกับเหยื่อการค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนผู้ประกอบการภาคเอกชนในธุรกิจการประมง ผลการวิจัยพบว่ากระบวนการและเส้นทางการเข้ามาทํางานเริ่มจากการติดต่อกลุ่มคนที่ต้องการเข้ามาใช้แรงงานในเมืองไทย ผ่านนายหน้าที่มีหลากหลายและมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาพัวพันร่วมขบวนการเป็นขุมเครือข่ายใหญ่มีอิทธิพล ช่องทางการเข้าเมืองส่วนใหญ่เป็นการหลบหนีเข้าเมืองตามเส้นทางธรรมชาติ รูปแบบการเดินทางโดยมากจะมาเป็นกลุ่ม โดยมีนายหน้าฝั่งไทย คอยจัดสางกลุ่มแรงงานกระจายไปยังเป้าหมาย ผ่านการหลอกลวง การสร้างหนี้ การบังคับขู่เข็ญ การกักขังหน่วงเหนี่ยว ภายใต้เงื่อนไขทํางานก่อน พอมีรายได้จะถูกหักค้าขนส่ง ค้านายหน้า ทําให้ต้องถูกกักตัวเพื่อทํางานแลกเงิน ในส่วนของแนวทางป้องกันและปราบปรามการลักลอบการค้ามนุษย์ที่สําคัญคือการแก้ไขปัญหาในเชิงมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามโครงสร้างโดยการบูรณาการทั้งความคิดและวิธีการปฏิบัติของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้กฎหมายต้องสามารถบังคับใช้ได้อย่างจริงจังกับนายหน้า ผู้ประกอบการ และการทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การกระทำความผิดของเด็ก : ศึกษากรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ประภาพร สมพร; พิชญา เหลืองรัตนเจริญเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับการกระทำความผิดของผู้ใหญ่หรือเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากของอาชญากรวัยเด็กที่ร้ายแรงต่อสังคมและเป็นภัยสังคมในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นกฎหมายประเทศไทยในปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเพราะไม่มีการพัฒนาในมาตรการการกระทำความผิดของเด็กที่รุนแรงขึ้น และมาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่เป็นกฎหมายเฉพาะในการใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนนี้เหมาะสำหรับการกระทำความผิดที่เล็กน้อยเพราะกฎหมายมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนกลับตัวใหม่เป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้นการที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือกระทำความผิดที่เสมือนการกระทำความผิดแบบผู้ใหญ่ที่ย่อมเล็งเห็นผลว่าการกระทำที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแบบอาชญากรและเป็นภัยสังคมอย่างมากดังเหตุการข่าวในปัจจุบันที่เด็กอายุ 14 กราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าพารากอน และคดีเด็กและเยาวชนอายุเพียง 13-16 ปีวางแผนข่มขืนและฆ่าตกรรมป้ากบหรือป้าบัวผัน เหตุการณืเช่นนี้กลับเป็นการกระทำความผิดของเด็กทั้งสิ้นควรลงโทษหรือมีมาตรการสำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดี การลงโทษที่ใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมันล่าสมัยเกินกว่าจะนำมาปรับใช้ในการปัจจุบัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศในกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในระบบกฎหมาย Common law Civil law และคอมมิวนิสต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหมดแล้ว และนี้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแก้ไขของไทยที่ผู้เขียนเห็นว่าควรมีมาตรการสำหรับการลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดซ้ำซากและร้ายแรงส่งผลให้เป็นภัยสังคมอย่างยิ่งโดยเปรียบเทียบในหลักเกณฑ์อายุ โทษที่จะได้รับ และฐานความผิดที่สมควรลงโทษเพื่อประโยชน์ของประเทศที่กระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เป็นไปในทางพัฒนาและสามารถลงโทษตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง เพื่อเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างเป็นธรรมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กล้าณรงค์ แสนพะเยาว์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; ธนัสถา โรจนกูลการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 2) ปัจจัยที่ ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ สมาชิกชุมชนท่องเที่ยว 3 ชุมชน จำนวน 335 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้นำชุมชนหรือผู้แทนชุมชน คณะกรรมการชุมชน และสมาชิกในชุมชน จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่แนวคิดและความสามารถของคน คุณภาพชีวิตคนในชุมชน ความเข้มแข็งของชุมชนและการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ของชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ปัจจัยด้านความชัดเจนของนโยบาย ด้านศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านทรัพยากร ด้านทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ด้านการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผล ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 3. แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่า 3.1 ความชัดเจนของนโยบาย ควรกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วม ให้ชัดเจน เพื่อสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ให้แก่คนในชุมชน 3.2 ศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ควรจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว 3.3 ทรัพยากร ควรมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนผ่านเฟชบุค (Facebook) ไลน์ (Line) และเว็บไซด์ (website) ของหน่วยราชการ 3.4 ทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ควรฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจการท่องเที่ยวแก่คนในชุมชน 3.5 ชุมชนควรมีการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลความพึงพอใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีต่อกิจกรรมและบริการของท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่อไปรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงานภาครัฐ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พีรดนย์ ปราบต์พีรดนย์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญการวิจัยเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงาน ภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายการคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ และข้อบังคับในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออกจากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการ และเพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักกฎหมาย หลักเกณฑ์การคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ ในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออก จากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการของประเทศไทยกับหลักกฎหมายหลักเกณฑ์ ของต่างประเทศ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ คือ จำนวนผู้พ้นโทษในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อจำคุกตามคำ พิพากษาครบกำหนดจากเรือนจำเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ แสนกว่าคน (หรือเดือนละประมาณ 10,000 คน) และบางปียังมีการปล่อยตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเนื่องในโอกาสมหามงคลพิเศษตามวาระต่าง ๆ ก็จะมีผู้พ้นโทษออกมากกว่าในปีปกติ อีกทั้งยังมีผู้พ้นโทษที่พ้นจากระบบการคุมความประพฤติซึ่งมีทั้งผู้ ได้รับพักการลงโทษและลดวันต้องโทษ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ออกมาจากสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน แต่ที่สำคัญมักจะปรากฏข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผู้พ้นโทษบางส่วน ได้กลับไปกระทำผิดซ้ำเมื่อถูกปล่อยตัวไปไม่นาน สาเหตุหนึ่งเกิดจากผู้พ้นโทษเหล่านี้ ไม่สามารถประกอบอาชีพ สุจริตได้ เพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนเนื่องด้วยเคยติดคุกและมีประวัติอาชกรรม จึงทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำในกลุ่มผู้พ้นโทษรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพครูด้านทักษะการดำรงชีวิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศิริสุภา เอมหยวก; ลำยอง สำเร็จดี; เจนต์ คันทะรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาในกองพลพัฒนาที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ศิลปานันต์ ลำกูล; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; เลอพงศ์ ศรีสรรพางค์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพความรู้ความเข้าใจการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาของกองพลพัฒนาที่ 3 และการนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาของพลพัฒนาที่ 3 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรของกองกลพัฒนาที่ 3 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริ โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน และโครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองชายแดน ทั้งข้าราชการทหารระดับนายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตร จำนวน 136 คน ในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาบุคลากรของกองพลพัฒนาที่ 3 ที่ดำเนินการในปัจจุบันมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการสรรหาบุคลากรเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลากร โดยจัดให้มีการปฐมนิเทศก่อนการปฏิบัติงาน และระหว่างการปฏิบัติงานได้มีการส่งบุคลากรเข้าอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องบางเรื่อง ซึ่งเป็นไปตามหลักการของการพัฒนาบุคลากรทั่วไป แต่เมื่อมองถึงเรื่องการเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาทักษะและความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานนั้น น่าจะไม่เพียงพอ 2. รูปแบบที่นำเสนอประกอบด้วย การปฐมนิเทศและการฝึกอบรมก่อนการปฏิบัติงานเป็นเวลา 7 วัน ในเรื่องโครงการที่ปฏิบัติ สายการบังคับบัญชา หลักการปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการพัฒนาของกองทัพบก แผนการปฏิบัติงานในรอบปีงบประมาณ การพัฒนาชุมชน กระบวนการพัฒนาชุมชน การศึกษาชุมชน การประชาสัมพันธ์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการแนวคิดในการพัฒนา วิทยากรกระบวนการ การจัดเวทีประชาคม และการลงฝึกปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ ตลอดจนการทำการประเมินผล และสรุปผลการฝึกอบรม หลังจากนั้นชุดปฏิบัติการจะลงสู่พื้นที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามภารกิจ โดยเมื่อปฏิบัติงานทุกห้วงเวลา 3 เดือน ชุดปฏิบัติการจะกลับเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เป็นเวลา 3วันเพื่อแถลงผลและวิเคราะห์การปกิบัติงานที่ผ่านมารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาค ที่ 3.2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ดวงพร สุขุประการ; สุเมธ แสงนาทร; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและนำเสนอแนวทางในการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 รวม 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้า ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านระบบการทำงาน และด้านการส่งเสริมและสนุนสนุนของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานของศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 จำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาในการทำงานของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 มี ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การบันทึกข้อมูลหรือการจัดทำฐานข้อมูลสถิติเหตุเสียและประวัติการซ่อมบำรุง การปฏิบัติงานใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และการปรับปรุงฐานข้อมูลการแก้ไขติดตั้งเคเบิล ตามลำดับ 1.2 ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรกได้แก่ ความก้าวหน้าเรื่องเงินเดือนที่ไดรับเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่ปฏิบัติ ความก้าวหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ให้ดีขึ้นตามความสามารถ และความก้าวหน้าในเรื่องเงินเดือนที่ได้รั้บเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ ตามลำดับ 1.3 ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานเมื่อประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อร่วมงาน ตามลำดับ 1.4 ด้านระบบการทำงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ ปริมาณงานที่มีมากเกินจำนวนผู้ปฏิบัติงาน ระดับของการบังคับบัญชามีมากทำให้ยากในการที่จะปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว และระบบการทำงานที่มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตามลำดับ 1.5 ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนของผู้บริหาร มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนการจัดให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงาน ให้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน การจัดสรรอุปกรณ์ของใช้จากหน่วยสนับสนุนด้วยความรวดเร็ว และการอบรมให้มีความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2. แนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลุกค้าภูมิภาคที่ 3.2 แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านระบบการทำงาน โดยลลดความสลับซับซ้อนของหน่วยงาน ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน ลดเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมการ การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการปฏิบัติงาน การใช้วิธีการป้องกันมากกว่าแก้ไข การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ปฏิบัติงานมาเป็นผู้ควบคุมงาน และด้านบุคลากร โดยการจัดอบรมให้กับพนักงานและการชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับพนักงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอมรินทร์ลากูน พิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ผกามาศ อินทร์ตลาดชุม; ถาวร พงษ์พานิช; สมคิด ศรีสิงห์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า 2) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า และ3) ประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก การศึกษาครั้งนี้ศึกษากับประชากร ได้แก่ ผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หัวหน้าฝ่ายงานของแผนกต้อนรับส่วนหน้า และพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูล พิษณุโลก จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพการปฏิบัติงานบริการ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่า 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8971 แบบบันทึกการแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.8971 แบบบันทึกการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย() ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน()และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติงานบริการภาพรวมของทุกฝ่ายอยู่ในระดับพอใจ 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านบุคลิกภาพ ควรเปลี่ยนแบบฟอร์มพนักงานใหม่ ดูแลกวดขั้นการแต่งกายให้ถูกระเบียบ จัดสวัสดิการเครื่องประดับสำหรับพนักงานอาคันตุกะสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับแบบฟอร์ม และมีการรณรงค์การปฏิบัติงานด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ควรจัดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะในการปฏิบัติงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น แจ้งข้อมูล และจัดหาเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลจังหวัดใกล้เคียงเส้นทางเทศกาล หรือเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนล่วงหน้า จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเรียกดูหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับพนักงานรับโทรศัพท์ มีการประเมินการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินย้อนกลับสู่พนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้บริการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ควรมีการทำสังคมมิติในกลุ่มพนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้ 3. หัวหน้างานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก มีความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาชุมชนหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สุมาลี อินทอง; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; นิพันธ์ ประทุมศิริการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชุมชรหนอกปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดยศึกษาจากประชากรทั้งหมด 680 คน แล้วทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการ Snowball Sampling ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 228คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เครื่องบันทึกเสียง สมุดจด วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาและเรียบเรียงวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทฤษฎี และนำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่มีการพัฒนาเหมืองฝายเพื่อสร้างผลผลิตทางหารเกษตรให้มากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ชาวบ้านนั้นยากจนลงและมีหนี้สิ้นเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ 2. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่เริ่มมีความสัมพันธ์กันลดลงเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มโยกย้ายถิ่นฐานของตนเองเข้าสู่เมืองทำให้เกิดความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนเริ่มสั่นคลอนลง 3. ภาครัฐให้การกระตุ้นชาวบ้านทั้งยังจัดโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้ชาวบ้านต้องกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านนั้นจำนองจำนำและขายพื้นที่กินในที่สุด 4. เอกชนจัดบริการเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการทำการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวบ้านให้รวดเร็วและทันต่อความต้องการในการใช้จ่ายให้มากที่สุด ผลคือ ชาวบ้านมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านนั้นยากจนลงและติดหนี้สิน 5. แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการลดค่าใช้จ่าย เสริมสร้างรายได้ ประหยัด การพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือกัน การดำรงชีวิตพึ่งตนเอง อยู่อย่างเพียงพอ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อนุวัฒน์ ชมภูปัญญา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้ตารางคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.724 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว รองลงมาคือ เส้นทางการเข้าถึงชุมชน ด้านการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านการจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน ด้านการจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ 2. ปัจจัยการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีผลต่อการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า แนวทางการบริหารจัดการชุมชนสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มี 6 ข้อ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว 2) การจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน 3) การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว 4) ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) เส้นทางการเข้าถึงชุมชน และ6) การจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชนรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ฉัตรชัย บัณฑิตรัตน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรม และแนวทางการบริหารทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยวิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ 2 กลุ่มคือ อาข่า และลาหู่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 6 อำเภอ พบว่า เหตุการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าวในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เรียงผลกระทบจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการประกอบอาชีพหรือทำงาน ด้านงานประเพณีและเทศกาลสำคัญ การถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้ ด้านการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และด้านการดำรงวิถีชีวิต ทำให้วิถีความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฐานวิถีชีวิตใหม่ กลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 2 กลุ่มมีการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมอยู่ในระดับมาก ส่วนภาครัฐ หน่วยงานในท้องถิ่น และภาคเอกชนร่วมกันบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในระดับปานกลาง สอดคล้องกับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เรียงลำดับการบริหารจัดการจากมากไปหาน้อย คือ ด้านวิธีการจัดการ การตลาด บุคลากร การสนับสนุนจากภาครัฐ วัตถุดิบ และด้านงบประมาณ อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดของภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร การไร้สัญชาติ ไม่มีสิทธิ์ในที่ดินทำกิน และพื้นที่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ห่างไกลเมือง โดยเฉพาะบนดอยพื้นสูงที่ ทำให้การช่วยเหลือในหลายพื้นที่ยังไม่พอเพียง จากข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงรายในแต่ละด้าน พบว่า ส่วนใหญ่มุ่งเน้นการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมให้เกิดความยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการใช้เทคโนโลยี ผู้วิจัยจึงใช้แนวคิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมออกแบบแนวทางการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนฐานวิถีชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย 1. การบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมเชิงนโยบาย ภาครัฐควรทบทวนและกำหนดนโยบายเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์วางนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐได้ โดยใช้หลักการ “จริงจัง จริงใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” 2. การบริหารจัดการทุนวัฒนธรรมด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม โดยวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสร้างการมีส่วนร่วมโดยเทคนิคการมีส่วนร่วมในแต่ละระดับตั้งแต่ 1) การให้ข้อมูล (Inform) 2) การปรึกษาหารือ (Consult) 3) การเข้ามาเกี่ยวข้อง (Involve) และ 4) ความร่วมมือ (Collaborate)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน กรณีศึกษาเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กรรณิการ์ ไกรกิจราษฎร์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการท่องเที่ยวถือมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในระดับโลก ปัจจุบันจากสถิติพบว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลจากการท่องเที่ยวนั้น มีจำนวนมากขึ้นทุกปีต่อเนื่องกัน กล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลของทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับนโยบาย ด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก การวิจัยครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริการจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน 2) เพื่อเปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน เป็นวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา แจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบค่า t - test F - test รายคู่ LSD และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพ การสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก จำนวน 10 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านการดึงดูดทางการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศักยภาพของบุคลากรชุมชน ด้านการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ด้านการสร้างการรับรู้คุณค่า ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัย 2) เปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยว พบว่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยว และหากมีการจัดเส้นทางการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่ไปท่องเที่ยวมากที่สุด มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = .778**, -.746** , P<.01 = 0.03, 0.00) ส่วนด้านอื่นมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง-ต่ำตามลำดับ 3) แนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า ต้องเริ่มจากคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็ง เครือข่ายทุกภาคส่วนต้องส่งเสริมผลักดัน ชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความรู้สึกปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ รักษาความเป็นเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียง รู้รักหวงแหนมองเห็นคุณค่า เชื่อมโยงการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู อนุรักษ์ พัฒนา ต่อยอดสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน อย่างยั่งยืนรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 : กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก(2567) ศริลินทิพย์ สระสิทธิ์; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 2) เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 และ 3) ศึกษาแนวทางการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0: กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ บุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 290 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ บุคลากรระดับสูงในองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 เกี่ยวกับความพร้อมของบุคลากร ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านแรงจูงใจ (x̄= 4.60) ด้านความรับผิดชอบในงาน (x̄= 4.58) ด้านทัศนคติ (x̄= 4.55) ด้านทักษะ (x̄= 4.51) ด้านความรู้ (x̄= 4.43) และองค์ประกอบของการเป็นองค์การ Digital 4.0 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร (x̄= 4.65) ด้านการหาพันธมิตรเข้ามาช่วย (x̄= 4.64) ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ (x̄= 4.60) ด้านการมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง (x̄= 4.57) 2. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ และตำแหน่งงาน ต่างกันมีผลทำให้ความพร้อมของบุคลากรและความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของการเป็นองค์การ Digital 4.0 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 พบว่า มีการกำหนดนโยบายการปรับเปลี่ยนองค์การ ทั้งด้านการพัฒนาระบบงานและการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบงาน เพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานภายในองค์กรสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กรรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคระกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) นพดล เหล่ากอ; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิดคือ แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกทั้ง 3 กองทุน จำนวน 333 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ดำเนินการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 มาสังเคราะห์โดยอิงทฤษฎีการบริหารและหลักธรรมาภิบาล มาร่างเป็นกระบวนการบริหารจัดการกองทุน ประเมินคุณภาพกระบวนการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรฐานการประเมินที่พัฒนา STUFFLEBEAM และคณะ โดยการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เป็นการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนบ้านพักอาศัย 4 เขต แบ่งออกเป็น 3 กองทุน การจัดตั้งกองทุน การคัดเลือกกรรมการ และการมอบหมายหน้าที่ของกรรมการ เป็นการแต่งตั้งด้านการบริหารจัดการกองทุนปัญหาอยู่ในระดับมาก คือด้านหลักการมีส่วนร่วม และด้านที่มีระดับปัญหาน้อย คือด้านหลักนิติธรรม การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุน มีการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนหน่วยงานที่ใกล้เคียงกัน มีการประชุมจัดตั้งกองทุน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานมีการเลือกตั้งคณะกรรมการ และหมอบหมายหน้าที่ มีการประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงาน การพัฒนาคุณภาพของกระบวนการบริหารจัดการกองทุน พบว่า ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วัชรพล จันทเดช; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุงหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคณะกรรมการกองทุนชุมชน 2) กำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนชุมชนของคระกรรมการกองทุนชุมชน 3) ทดลองการใช้กลยุทธ์โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานก่อและหลังการใช้กลยุทธ์ 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กองทุนชุมชนที่มีปัญหาในการบริหารจัดการมากที่สุด จำนวน 1 ชุมชน โดยผู้วิจัยเลือกกองทุนชุมชนอยู่ในระดับต้องปรับปรุง (A) ตามเกณฑ์ชี้วัดระดับกองทุนชุมชนเมืองรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มใช้แบบสอบถามแบบไม่มีโครงสร้าง ตรวจสอบแบบสามเส้า วิเคราะห์ข้อมูลแบบสรุปอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า กองทุนชุมชนมีปัญหาที่ต้องแก้ไขทันที่เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงินไม่ถูกต้องและไม่เป็นปัจุบัน ไม่มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ คณะกรรมการไม่มีการประชุมกันและติดตามผลการดำเนินงาน ผู้วิจัยได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำไปใช้กับคณะกรรมการกองทุนชุมชนที่ได้ผ่านกระบวนการศึกษาปัญหาและสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 10 คน กลยุทธ์ ประกอบด้วยการชี้แจ้งทำความเข้าใจในการบริหารจัดการชุมชน และการประชุมวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกันผลการใช้กลยุทธ์ได้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือน สิงหาคม 2549 กับเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2550 ด้วยการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน การตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้ และการประชุมและติดตามผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนชุมชน นอกจากนี้ยังมีการประเมินการใช้กลยุทธ์โดยใช้แบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์คณะกรรมการกองทุนชุมชนมีการตรวจสอบการจัดทำบัญชีและเอกสารการเงิน มีการตรวจสอบและติดตามการชำระหนี้ของลูกหนี้โดยมาตรการที่ชัดเจนมีการประชุมและติดตามผลการดำเนินงาน และลูกหนี้มาชำระหนี้มากขึ้น กลยุทธ์มีความเหมาะสมในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของ ศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) มนัส มากบุญ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สุภาพ รมณีย์พิกุล; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณวิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยและพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุน ต่อหน่วยบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนต่อหน่วยบริการและเสนอกลยุทธ์การบริหารต้นทุนของศูนย์สุขภาพชุมชนอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชนทั้งหมดในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 41 คน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ต้นทุนต่อหน่วยบริการจำแนกตามรายกิจกรรม ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง พบว่า กิจกรรมงานรักษาพยาบาล มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 74.18 บาท งานอนามัยแม่และเด็กมีต้นทุนต่อหน่วยเท่ากับ 297.21 งานวางแผนครอบครัว มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 169.44 บาท งาน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มีต้นทุนต่อหน่วยเฉลี่ย เท่ากับ 220.06 งานเยี่ยมบ้าน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 19.26 บาทงานอนามัย โรงเรียน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 472.27 บาท งานสุขาภิบาลและควบคุมโรค มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 782.62 บาท และงานทันตสาธารณสุข มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 726.69 บาท สัดส่วนของต้นทุนด้านค่าแรง ต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน เท่ากับ 299,348 : 205,148 : 155,419 หรือร้อยละ 45.36 : 31.09 : 23.55 การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยบริการเฉลี่ยจำแนกตามรายกิจกรรมของศูนย์สุขภาพชุมชนพบว่าทั้งศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีต้นทุนต่อหน่วยบริการไม่แตกต่างกัน คือ มีต้นทุนค่าแรงมากที่สุด รองลงมาคือต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน การพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพชุมชน พบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ใช้การพัฒนากลยุทธ์ผู้นำในค่าใช้จ่าย โดยเสนอกลยุทธ์ ลดค่าแรงเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ 3 วิธี คือ 1.การลดการอยู่บรรนอกเวลาลงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน 2.เจ้าหน้าที่ในศูนย์สุขภาพชุมชนลูกข่ายไปขึ้นเวรนอกเวลาในศูนย์สุขภาพชุมชนแม่ข่าย 3.การงดการอยู่เวรนอกเวลาทั้งหมดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภิรมย์ สิทธิกมลรัตน์; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) สำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 2) พัฒนาคุณภาพ กลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 3) ทดลองใช้กลยุทธ์โดยการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของสมาชิกก่อนและหลังการใช้กลยุทธ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2549 กับช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2550 4) ประเมินกลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด หลังการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สมาชิกสหกรณ์รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่า t-test dependent ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กระบวนการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การสำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 231 คน 2) การกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา 3) ทดลองใช้กลยุทธ์กับสมาชิกสหกรณ์ที่สมัครใจ จำนวน 40 คน 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ ซึ่งพบว่าสภาพการมีส่วนร่วมนั้น ส่วนใหญ่สมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันมีความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ระดับน้อย ความคิดเห็นที่มีต่อสหกรณ์ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาได้แก่ เอกสารเผยแพร่ การให้การศึกษาฝึกอบรม กำหนดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่ม แบ่งกลุ่มคัดเลือกผู้นำ และการกระตุ้นเตือนเป็น เวลา 3 เดือน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์ความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์และความคิดเห็นที่มี่ต่อสหกรณ์ ในภาพรวมเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการซื้อสินค้าจากสหกรณ์อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) สุกัลยา ประจิตร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจภาวะการมีงานทำจากการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายส่งเสริมการ มีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ใช้การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยสูตร Taro Yamane ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) การสำรวจภาวะการมีงานทำต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=2.73; S.D.= 0.71) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ภาวะการมีงานทำอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการแรงงานผู้สูงอายุของชุมชน (x̄= 3.97; S.D.= 0 .69) และด้านการสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ (x̄ =3.87; S.D. = 0.93) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ด้านอัตราค่าจ้าง สวัสดิการผู้สูงอายุ (x̄=1.66; S.D. = 0.55) 2)ปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ด้านข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ (Beta =.761) ปัญหาด้านการสร้างมุมมองใหม่ในสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Beta =.397) ด้านการขาดการประสานงานความร่วมมือในพื้นที่ (Beta =.439) ตามลำดับและ 3)แนวทางการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า แรงงานผู้สูงอายุต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกับเอกชนให้ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุและต้องการให้จัดอบรมพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานปัจจุบัน รวมถึงร่วมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายกับหน่วยงานอื่น ๆ อย่างจริงจัง และติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) รุ่งทิพย์ จันธิราช; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัยการวิจัยในเรื่องนี้วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบปัญหาความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่ม โดยพัฒนาความรู้ ผลิตภัณฑ์และการศึกษาความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ทำวิจัยในกลุ่มผ้าทอบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยวิธีการวิจัยแบบภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังเป็นปัญหาพื้นฐานของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก และกลุ่มมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่เหมาะสมกับวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ และต้องการพัฒนาความรู้ของสมาชิกกลุ่มด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป 2. กลุ่มสมาชิกที่มีความรู้ และทักษะฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปสามารถผลิต ผลิตภัณฑ์ เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มวัยกลางคนถึงสูงอายุ เป็นเสื้อแขนสั้น คอปกเชิ้ต บ่าเรียบไม่มีอินธนู กระเป๋าเจาะไม่มีฝาปิดด้านซ้าย ชายเสื้อตัดตรงมีขอบยื่นสำหรับติดกระดุม ตัวเสื้อใช้ผ้าสีพื้น กระดุมหุ้มด้วยผ้าสีพื้น 3. ความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบผลิตภัณฑ์เสื้อสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษของกลุ่ม ทอผ้าบ้านน้ำพริก ที่เป็นรูปแบบเรียบง่าย ไม่เป็นทางการ สามารถสวมใส่ในทุกๆโอกาส โทนสีปานกลางไม่เข้มหรืออ่อนเกินไปเหมาะกับรูปร่างและผิวพรรณของแต่ละบุคคล สวมใส่แล้วสวยงามดูภูมิฐาน สุภาพเรียบร้อยเข้ากับลักษณะของกลุ่มวัยตนเอง ราคาไม่แพงเกินไป สามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปไปใช้ได้