มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 66
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก ในจังหวัดสุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) สุรีย์พร เพ็งเลีย; ภาวิดา มหาวงศ์
    การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัย เครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็นเครื่องมือทดลอง ได้แก่ รูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยประกอบด้วย หลักการหรือคำนิยาม จุดมุ่งหมาย ขั้นตอนการประยุกต์ใช้ และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบทดสอบความเข้าใจชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 2 ท่าน ครูผู้สอนจำนวน 18 ท่านของโรงเรียนบ้านดงเดือยและโรงเรียนบ้านดอนสาโรง ตำบลดงเดือย อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัยคัดเลือกด้วยวิธีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบที (t-test independent) ผลการศึกษาการใช้รูปแบบฯ ตามตัวชี้วัดที่ 1 การทดสอบความรู้เกี่ยวกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของบุคคลากรโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดสุโขทัยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .89 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนของบุคลากรก่อนและหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า คะแนนหลังการใช้รูปแบบฯ สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตัวชี้วัดที่ 2 การประเมินวงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัย พบว่า วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยในมิติภาวะผู้นําร่วมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.84 มิติการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75 มิติการมีวิสัยทัศน์ร่วมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63 มิติการทํางานเป็นทีมแบบร่วมแรงร่วมใจและมิติสภาพแวดล้อมเชิงบวกมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56 ตามลําดับ ตัวชี้วัดที่ 3 การประเมินการสร้างวัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัย พบว่า วัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยในมิติการสนับสนุนจากผู้นํามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.07 มิติการเปิดรับในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.89 มิติความไว้วางใจและความนับถือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.76 มิติกัลยาณมิตรทางวิชาการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.66 ตามลําดับ สรุปได้ว่า การพัฒนารูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุโขทัยมีองค์ประกอบสําคัญ 5 ประการได้แก่ หลักการและแนวคิด จุดมุ่งหมาย วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ขั้นตอนและกิจกรรม และการสะท้อนผลหรือข้อมูลย้อนกลับ มีตัวชี้วัดคุณภาพของรูปแบบที่สําคัญ 3 ประการได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของบุคลากร วงจรชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 5 มิติ และวัฒนธรรมแห่งกัลยาณมิตรของโรงเรียนขนาดเล็ก 4 มิติ ถือเป็นกระบวนการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานวิชาชีพและมีจิตวิญญาณความเป็นครู มีการปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับบริบทความต้องการของท้องถิ่น เกิดความตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง ริเริ่มการประยุกต์ใช้ของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเป็นเครื่องมือในการยกระดับศักยภาพการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่น
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐ
    ผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การบริหารและจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อ
    การวิจัยเรื่อง การบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและแบบสำรวจการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบจำลองการบริหารและการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยปรับแต่งเป็นแบบสำรวจเพื่อใช้เก็บข้อมูลภาคสนามและแบบสอบถามที่นำไปเก็บข้อมูลจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้า บุคคลผู้ปฏิบัติงานในอุทยานฯ นักท่องเที่ยว ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า อุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้ามีความสามารถในการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับที่สูง มีเพียง 4 กิจกรรมเท่านั้นที่อุทยานฯยังไม่ได้ดำเนินการ ส่วนความสามารถในการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรในองค์กร, นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในเขตอุทยาน อยู่ในระดับดีพอสมควรทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแบบสำรวจและแบบสอบถามการบริหารและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะสามารถเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา”
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ทิพย์สุดา นัยทรัพย์
    การวิจัยชุดนี้จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา” และหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน 3 ด้านคือ 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนของนักศึกษา และ3)เจตคติของนักศึกษาต่อบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้ บทเรียนสำเร็จรูป และแบบสอบถามวัดเจตคติ ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดในภาพรวมเท่ากับ 87.45/77.27 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดคือ 75/75 ยกเว้น ชุดที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย ส่วนใหญ่ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป นักศึกษามีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 ด้านเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทั้ง 5 ชุด พบว่า นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหาทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผลและเปิดโอกาสให้นักศึกษารู้หลักธรรมควบคู่กับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ในทางการเรียน รายวิชาการจัดการการตลาด
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ลัสดา ยาวิละ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยการใช้ ระบบไมโครอิมัลชันเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ศนิพร จันทร์บุรี
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยระบบไมโครอิมัลชัน ในเบื้องต้นได้มีการเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวหอมมะลิด้วยวิธี DPPH จากผลการทดลองพบว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวหอมมะลิอย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 2 เท่า) (P<0.05) จากนั้นนำมาพัฒนาระบบไมโครอิมัลชันประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75 และ Cetiol® HE ซึ่งทำหน้าที่เป็นวัฏภาคน้ำมัน วัฏภาคสารลดแรงตึงผิว และวัฏภาคสารลดแรงตึงผิวร่วม ตามลำดับ โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับการนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจะประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75, Cetiol® HE และน้ำที่ปริมาณร้อยละ 35, 44, 11 และ 10 ตามลำดับ จากการประเมินทางประสาทสัมผัสพบว่าคุณลักษณะทางด้านความชอบโดยรวม ลักษณะปรากฏ สี และความใส พบว่าสูตรที่เหมาะสมได้คะแนนความชอบเฉลี่ยเท่ากับ 5.1, 5.7, 5.5 และ 5.0 คะแนนตามลำดับจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน นอกจากนี้การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มด้วยวิธี Freeze-thaw cycle พบว่าไม่เกิดการแยกชั้นของตัวรับของผลิตภัณฑ์
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจด้าน โรงแรมขนาดเล็ก ในเขตภาคเหนือตอนล่าง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) สุธาสินี อรุณ
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะและการดำเนินธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตภาคเหนือตอนล่าง 2) เพื่อศึกษาตัวแปรเชิงกลยุทธ์ของความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตภาคเหนือตอนล่าง และ 3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตภาคเหนือตอนล่าง การวิจัยในครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ ผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบของธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในเขตภาคเหนือตอนล่างจำนวน 75 แห่ง เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) ลักษณะรูปแบบของโรงแรมขนาดเล็กในเขตภาคเหนือตอนล่าง จำนวนห้องพักส่วนใหญ่มี 31-40 ห้อง จำนวนพนักงานของโรงแรมส่วนใหญ่มี 16-20 คน ระยะเวลาในการดำเนินงานของกิจการมีระยะเวลา 16 ปี ขึ้นไป 2) ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจโรงแรมในภาพรวมทุกกลยุทธ์มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ซึ่งได้แก่ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ด้านราคา กลยุทธ์ด้านทำเล กลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการตลาด กลยุทธ์ด้านพนักงาน กลยุทธ์ด้านกระบวนการให้บริการ และกลยุทธ์ด้านกายภาพ 3) จำนวนห้องพักและจำนวนพนักงานของธุรกิจโรงแรมที่ต่างกันมีความสำเร็จในการประกอบธุรกิจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ระยะเวลาในการดำเนินงานของกิจการของธุรกิจโรงแรมที่ต่างกันมีความสำเร็จในการประกอบธุรกิจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และในส่วนของปัจจัยเชิงกลยุทธ์ทุกกลยุทธ์ มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมไปในทิศทางเดียวกันในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวต่อ ผลผลิตเห็ดฟางที่เพาะในตะกร้าพลาสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) อมรรัตน์ อุประปุย; อรพิน เสละคร; คงเดช พะสีนาม; ธันวมาส กาศสนุก
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวสำหรับใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางในตะกร้าพลาสติก โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) แบ่งออกเป็น 5 สิ่งทดลองๆ ละ 4 ซ้ำ โดยใช้อัตราส่วนวัสดุเพาะ แตกต่างกัน ได้แก่ 1) จอกแห้ง 100% 2) จอกแห้ง 75% : ฟาง 25% 3) จอกแห้ง 50% : ฟาง 50% 4) จอกแห้ง 25% : ฟาง 75% และ 5) ฟาง 100% ผลการวิจัยหลังจากเพาะเห็ดฟางเป็นเวลา 13 วัน และเก็บผลผลิตติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน พบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยการใช้ฟางข้าว 100% ให้น้ำหนักดอกรวม จำนวนดอก น้ำหนักต่อดอก และ ขนาดเส้นรอบวงของเห็ดฟาง เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 740.46 กรัม 14.56 ดอกต่อตะกร้า 12.81 กรัมต่อดอก และ 12.44 เซนติเมตรต่อดอก ตามลำดับ
  • รายการ
    การศึกษาประสิทธิภาพและการสร้างมาตรการบังคับใช้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ศึกษากรณีพื้นที่รอบ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (ส่วนทะเลแก้ว)
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ภูวเดช วงศ์เคี่ยม; ธีรวุฒิ ทองทับ; นฤมล พุ่มเมือง
    งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบังคับใช้พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริเวณรอบมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (ส่วนทะเลแก้ว) และเพื่อสร้างมาตรการในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methodology) เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างตัวแทนนักศึกษา ร้านค้า สถานบริการประชาชน 10 คนและแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษา 398 คน และประชาชน 476 คน เกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า ตัวแทนนักศึกษา ร้านค้า ผู้ประกอบการและประชาชนมีการรับรู้มาตรการการบังคับใช้ฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 การควบคุมวันและเวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด ส่วนการควบคุมฉลากและบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยที่สุด ส่วนของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย พบว่า มักใช้ 3 มาตรการหลักในการดำเนินการในพื้นที่ คือ การควบคุมผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ห้ามขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ) การควบคุมวิธีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (การขายแบบส่งเสริมการตลาด เช่น ขายลดแลก แจกแถม) และการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีอยู่ 2 ลักษณะคือ 1) เป็นการที่จะลดราคาเครื่องดื่มในร้าน และ2 ) การนำภาพการจัดกิจกรรมไปโพสต์ในสื่อออนไลน์ อันเข้าลักษณะความผิดตามมาตรา 32 กลุ่มตัวอย่างของนักศึกษากรณี ความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับรู้ถึงพระราชบัญญัติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้โดยมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 57.95 เมื่อพิจารณาแต่ละมาตรการพบว่า การควบคุมบุคคลผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์หรือบุคคลที่มีอาการมีนเมาจนครองสติไม่ได้ (มาตรา 29) ซึ่ งมาตรการนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ประกอบการให้มากขึ้น ส่วนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ตัวอย่างจากประชาชน ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 62.95 เมื่อพิจารณาแต่ละมาตรการพบว่า การควบคุมบุคคลผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักศึกษาและประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจมาตรการดังกล่าวนี้เป็นอย่างดี ส่วนการควบคุมวิธีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรณีการจำหน่ายเหล้าแถมเบียร์ และการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นักศึกษาและประชาชนรับรู้ได้ค่อนข้างน้อย คณะผู้วิจัยสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสรุปได้ คือ ประการแรกควรมีคำเตือนเป็นรูปภาพประกอบหรือผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามองค์การอนามัยโลก รวมถึงการสร้างแผนในการให้ความรู้ตั้งแต่ระดับเยาวชน ประการที่สองควรนำมาตรการทางกฎหมายของประเทศสวีเดนที่มีระบบที่ควบคุมโดยรัฐมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่จะซื้อและผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการผูกขาดร้านค้าของรัฐ นอกจากนี้ ควรทำความเข้าใจให้นักศึกษาและประชาชนรับรู้ว่าห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้ซื้อที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์อย่างเด็ดขาด และสร้างความร่วมมือแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ประการที่สามควรมีการประชาสัมพันธ์ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้นักศึกษาและประชาชนรับรู้ วัน ช่วงเวลาที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการห้ามขายในวันสำคัญทางพุทธศาสนาและวันเลือกตั้ง ประการที่สี่ ควรนำมาตรการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศฝรั่งเศส เช่น การห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มงวดโดยมีรายละเอียดที่ห้ามมิให้โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านสื่อ อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะคือ ส่วนประเทศนอร์เวย์กำหนดห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยการเป็นผู้สนับสนุนกีฬา ทีมกีฬา เสื้อผ้านักกีฬา ป้ายโฆษณา และกิจกรรมอื่นๆ ประการสุดท้ายควรมีการรณรงค์ให้รับรู้ถึงกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ประกอบการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์กฎหมาย ตลอดจนการดำเนินการออกตรวจ และประสานหน่วยงานที่ออกตรวจร่วมกัน