คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/144
ค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลวิภัชนีย์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ยุพร ริมชลการ; พงษ์พันธ์ จุลทาการวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยทำการแนะนำแนวคิด △-กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ไอดีลภายในวิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัยของกึ่งกรุปซึ่งเป็นนัยทั่วไปของ (∈, ∈∨q)- กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลขวาวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่ วางนัยทั่วไปวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่วิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลภายในวิภัชนัย (∈, ∈∨q) ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ (∈, ∈∨q)-ไอดีลวิภัชนัย ตามลำดับ พร้อมกับจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวรพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน : กรณีศึกษาเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) สุพัตรา เอี่ยมนาค; สุขสมาน สังโยคะการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวณพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน จากพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน ของเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเก็บตัวอย่างหน้าดินจากพื้นที่กำจัดขยะ พบว่าดินมีการปนเปื้อนของตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็กเท่ากับ 235.94 271.55 18.06 602.06 และ 3,863.61 มิลลิกรัม/กิโลกรัม การศึกษานี้จะเปรียบเทียบความสามารถในการบำบัดโลหะหนักเมื่อใช้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ดาวเรือง มะเขือ และหญ้าแฝก การทดลองทำในระดับห้องปฏิบัติการ และทำการเพาะเมล็ดพืชเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายพืชมาปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ทำการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักทุกๆ 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ จากนั้นเก็บเกี่ยวพืชมาทำการวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักที่สะสมในส่วนประกอบต่างๆ ของพืช ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็ก ในชุดการทดลองดาวเรืองลดลง 45.81% 19.96% 47.54% 50.90% และ 46.69% มะเขือลดลง 20.67% 50.14% 71.76% 51.59% และ 49.29% หญ้าแฝกลดลง 14.62% 45.12% 45.09% 51.37% และ 50.73% ตามลำดับ ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดโลหะหนักของพืช พบว่า ดาวเรืองมีคุณสมบัติในการบำบัดแคดเมียมได้ดีที่สุด รองลงมาคือ สังกะสี เหล็ก ทองแดง และตะกั่ว มะเขือบำบัดเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือสังกะสี ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว หญ้าแฝกบำบัดสังกะสีได้ดีที่สุด รองลงมาคือเหล็ก ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว สำหรับการสะสมโลหะหนักในส่วนต่างๆ ของพืช การสะสมโลหะหนักทั้ง 5 ชนิด มีแนวโน้มคล้ายคลึงกันคือ มีการสะสมโลหะหนักสูงสุดในราก รองลงมาคือใบ ลำต้น และ ดอก/ผล ตามลำดับ และในสภาวะที่มีการเติมสารก่อคีเลตหรืออีดีทีเอลงไปในดินช่วยส่งเสริมให้การบำบัดโลหะหนักด้วยพืชเกิดได้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดต่างๆ จากผักมะไห่และสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กีรติ ตันเรือน; พิสิษฐ์ พูลประเสริฐผักมะไห่หรือผักไห่ (Momordica 'Ma Hai') เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Cucurbitaceae ที่สามารถรับประทานได้ โดยนิยมนำส่วนของยอดไปใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามพบว่ายังไม่มีการรายงานถึงองค์ประกอบทางเคมีและสมบัติทางชีวภาพของพืชชนิดนี้ ดังนั้นในงานวิจัยนี้จึงได้ตรวจสอบองค์ประกอบทางเคมี ฤทธิ์ด้านสารอนุมูลอิสระและฤทธิ์ด้านเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำมันหอมระเหย สารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทของผักมะไห่ โดยน้ำมันหอมระเหยของผักมะไห่ได้จากการสกัดใบและก้านแห้งด้วยการกลั่นไอน้ำและแยกชั้นด้วยไดคลอโรมีเทนแล้วทำการระเหยไดคลอโรมีเทนออก ส่วนสารสกัดเมทานอล อะซิโตนและเอทิลอะซิเตทได้จากการนำตัวอย่างใบและก้านแห้งมาแช่ด้วยเมทานอล อะซิโตนหรือเอทิลอะซิเตท เป็นเวลา 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมากรองและระเหยด้วยเครื่องกลั่นระเหยสุญญากาศ องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยวิเคราะห์ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟีแมสสเปกโทรมทรี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ทั้งหมดวิเคราะห์ด้วยวิธี folin-ciocalteu และ aluminium chloride colorimetric ตามลำดับ ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl (DPPH) scavenging และ Ferric reducing antioxidant power (FRAP) และทดสอบฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ก่อโรค 6 ชนิด (Bacillus cereus, B. subtilis, Candida albicans, Escherichia coli, Pseudomonas fluorescens และ Salmonella typhi) ด้วยวิธี paper disc-diffusion จากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ด้วยเทคนิคแก๊สโครมาโทกราฟี–แมสสเปกโทรมทรีพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่มีองค์ประกอบที่ระเหยได้ 7 ชนิด โดยพบ anethole ซึ่งเป็นสารให้กลิ่นในอุตสาหกรรมหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก และน้ำมันหอมระเหยจากผักมะไห่ยังพบปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือ 65.6 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัดและ 42.6 มิลลิกรัมสมมูลเคอเซทินต่อกรัมสารสกัด ตามลำดับ ขณะที่พบว่าสารสกัดเอทิลอะซิเตทมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดโดยมีค่าความเข้มข้นในการยับยั้งที่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่ากับ 0.95 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรและมีค่า FRAP value เท่ากับ 16.8 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากผักไห่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ทดสอบได้ทุกชนิด โดยน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ยับยั้งจุลินทรีย์ทดสอบได้ดีกว่าสารสกัดจากตัวทำละลายชนิดอื่น ดังนั้นสารสกัดจากผักไห่จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสารให้กลิ่นและสารด้านเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและเครื่องสำอางต่อไปในอนาคตรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การปลดปล่อยและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากนาโนอาร์บูตินครีม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) วิษณุ ธงไชย; พิชัย พูลประเสริฐ; เฉลิมพร ทองพูน; ยุทธศักดิ์ แช่มมุ่ย; ศิริรัตน์ พันธ์เรืองรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) อุ่นเรือน ชูยิ้ม; นววรรณ ทองมี; เฉลิมพร ทองพูนวัตถุประสงค์ของงานวิจัย คือ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านสามวิทยาลง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 38 จำนวน 21 คน ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 เล่ม แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (7E) จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง บรรยากาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการทดสอบค่าที (t – test dependent) สรุปผลการศึกษาได้ ดังนี้ คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.30/82.86 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และเมื่อนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยที่นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาตัวแบบถดถอยเชิงเส้นอย่างง่ายเมื่อตัวอย่างมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบชุดลำดับได้ดุล(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ชฎารัตน์ ถาปัน; สลิลทิพย์ แดงกองโคการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างตัวแบบถดถอยเชิงเส้นอย่างง่ายภายใต้การสุ่มตัวอย่างแบบชุดลำดับได้ดุล (Balance Ranked Set Sampling: BRSS) และเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือได้ของตัวแบบถดถอยเชิงเส้นอย่างง่ายเมื่อตัวอย่างมาจากการสุ่มตัวอย่างแบบชุดลำดับได้ดุล ซึ่งได้ดำเนินการจำลองข้อมูลประชากรตามแผนการจำลองข้อมูล จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างแบบชุดลำดับได้ดุลเพื่อสร้างตัวแบบถดถอย ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาตัวแบบถดถอยคือ ค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (Coefficient of Determination: R²) และค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสอง (Mean Square Error: MSE) ผลการศึกษาโดยสรุปพบว่า ตัวแบบถดถอยที่สร้างจากตัวอย่างที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบชุดลำดับได้ดุล เมื่อมีขนาดตัวอย่างเพิ่มมากขึ้นสำหรับการสุ่มตัวอย่าง 1 รอบ (m = 1) ตัวแบบถดถอยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจสูงที่สุด และมีค่าความคลาดเคลื่อนกำลังสองของตัวแบบถดถอยน้อยที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวตังเสริมแคลเซียมจากกระดูกปลาสลาด(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) ผกาวดี เอี่ยมกำแพง; โสรัจ วรชุม อินเกตรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) เสกสรรค์ ศิวิลัย; รัฐวิภาค อู่ทองมากงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาและพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ สร้างและประเมินความเหมาะสมของระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ทดลองใช้ระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และสรุปประเด็นและปรับปรุงระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยการพัฒนาระบบนำหลักการแบบ SDLC (System Development Life Cycle) มาใช้ในการพัฒนาระบบ และได้รวบรวมความต้องการจากผู้ใช้ วิเคราะห์ปัญหาจากระบบเดิมแล้วนำมาออกแบบและพัฒนาระบบใหม่ ผลของการศึกษาวิจัยพบว่า ระบบสารสนเทศสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มีผลประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 ดังนั้นระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถนำไปใช้งานได้จริงและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่อหรือสนับสนุนการตัดสินใจในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุได้ตามต้องการรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาวิธีการติดตามประเมินผลโครงการบริการวิชาการของ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) มาลินี เห็มลารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากไหมข้าวโพดสีแดง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) มนตรา ศรีษะแย้ม; นนทพร รัตน์จักร; พิมรินทร์ ศิรินทร์; กาญจนา วงศ์กระจ่าง; อนงค์ ศรีโสภางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสารจากไหมข้าวโพดสีแดงเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้ง ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคและอายุการเก็บรักษา การสกัดสารใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย การทดสอบหาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแบ่งเป็น 9 สภาวะ ที่มีความแตกต่างทั้งอุณหภูมิและระยะเวลาในการสกัด โดยใช้อุณหภูมิในการสกัดที่ 60 70 และ 80 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 10 นาที 20 นาที และ 30 นาที นำตัวอย่างทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH radical scavenging assay พบว่า สภาวะการสกัดที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูลอิสระสูงสุด เท่ากับ 62.10±0.72% และปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดสูงสุด เท่ากับ 93.42±0.09 mg/ 100g ตัวอย่าง เมื่อนำสารสกัดไหมข้าวโพดสีแดงไปประยุกต์ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งซึ่งถูกพัฒนาขึ้น 3 สูตร และคัดเลือก 1 สูตร จากสูตรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคสูงสุด โดยการทดสอบความพึงพอใจของอาสาสมัครด้วยแบบประเมินผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยวิธี 9 Point Hedonic Rating Scales และทำการศึกษาอายุการเก็บรักษาจากตัวชี้วัด ได้แก่ การตรวจความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและหาปริมาณแอนโทไซยานิน ทางด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ จำนวนแบคทีเรียทั้งหมด ยีสต์รา และโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และทางประสาทสัมผัส โดยเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผลที่ได้พบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ได้ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ โดยมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทั้งหมดตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่พบยีสต์ราและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และผลทางประสาทสัมผัสพบว่า ค่าเฉลี่ยลักษณะที่ปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ ความซ่า ความรู้สึกหลังกลิ่น และความชอบโดยรวมตั้งแต่วันที่ 0 จนถึงวันที่ 14 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) นอกจากนี้พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการเก็บรักษา 2 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส มีความสามารถด้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 40.67±0.84% มีปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดเท่ากับ 1,141.09±0.1 µg/250ml ตัวอย่างรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การยืดอายุการเก็บรักษาเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กนกวรรณ ตั้งมูล; ธวัชชัย สุภาวิชิตพานนท์; ปิยะวรรณ สุภาวิชิตพานนท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนปฏิบัติการชีวเคมี1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ฤดีวรรณ บุญยะรัตน์การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนปฏิบัติการวิชาชีวเคมี 1 ซึ่งเน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเปิดโอกาสให้ใช้เครื่องวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ โดยได้ทำการสร้างบทเรียนสพเร็จรูป 6 ชุด เนื้อหาของชุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พุทธศักราช 2550 ในรายวิชาปฏิบัติการชีวเคมี 1และได้นำชุดการเรียนการสอนนี้ทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 38 คน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนทั้ง 3 ด้าน เจตคติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา แบบสอบถามวัดเจตคติ และแบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสอบถามวัดเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี (3.50-4.49) เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหากระชับและชัดเจน ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผล และเปิดโอกาสให้ใช้เครืองมืออย่างเต็มที่ ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปมีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับประสิทธิภาพของบทเรียนแต่ละชุดอยู่ในเกณฑ์กำหนด E1 : E2 = 75 : 75 โดยมีค่าเบี่ยงเบนได้ ±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากรายงานผลการศึกษาบทเรียน เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนน จากแบบประเมินตนเองเมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมในบทเรียนสำเร็จแต่ละชุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุลยา จันทร์อรุณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory approach) และทักษะกระทวนการทางวิทยาศาสตร์โยได้ทำการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป 5 ชุดเนื้อหาของชุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พุทธศักราช 2550 โดยเน้นเนื้อหาส่วนหนึ่งในรายวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 และได้นำชุดการสอนนี้ทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 40 คน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพชองชุดการเรียนการสอนทั้ง 3ด้าน คือ ทางด้านเจตคติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา และประสิทธิภาพของชุดบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบสอบถามวัดเจตคติ และแบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลใชโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษษมีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทุก ๆ ด้านอยู่ในระดับดี (3.5-4.19) เช่นด้านวัตถุประสงค์ เนื้อหากระชับ และชัดเจน ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้เหตุผลและความคิด การได้ใช้เครื่องมือ และได้ทำการทดลองด้วนตนเองทุกขั้นตอน ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปนักศึกษามีการเยนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดE1 : E2 = 75 : 75 โดยมีค่าเบี่ยงเบนได้±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากรายงานผลการศึกษาบทเรียน E2 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบประเมินตนเองเมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมในบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การพัฒนาตนเองของบุคลากรคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) กัญญาวีร์ สมนึกการศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาตนเองของบุคลากรคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูลการพัฒนาตนเองของบุคลากร จากจำนวนบุคลากรคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน จำนวน 285 คน ผลการศึกษา พบว่า เมื่อเปรียบเทียบเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ระยะ 3 ปี ในแต่ละปีของบุคลากร สายวิชาการ มีเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ในระยะเวลา 3 ปี พบว่า มีการได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ มากที่สุด คือ สำนักงานคณบดี มีการได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ รองลงมา คือ สาขาวิชาเคมี และมีการได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ น้อยที่สุด คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนบุคลากรไปราชการของบุคลากรคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระยะเวลา 3 ปี พบว่า มีจำนวนบุคลากรไปราชการ มากที่สุด คือ สำนักงานคณบดี มีจำนวนบุคลากรไปราชการ รองลงมา คือ สาขาวิชาเคมี และมีจำนวนบุคลากรไปราชการ น้อยที่สุด คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ดังนั้น การสนับสนุนงบประมาณของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่นำไปใช้ ในการไปราชการ เพื่อพัฒนาตนเองของบุคลากรสายวิชาการ และสายสนับสนุน จึงเกิดประโยชน์ กับผู้ที่ไปพัฒนาตนเอง เพื่อนำความรู้ แนวคิด และแรงจูงใจ มาใช้ในการพัฒนาการเรียน การสอน และพัฒนาศักยภาพของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏ พิบูลสงคราม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การให้บริการห้องปฏิบัติการคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) มาลินี เห็มลารายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์ข้อมูลการให้บริการเครื่องมือวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) วันเพ็ญ ตรงต่อกิจรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ของคลื่นของนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) รัตน์ติพร สำอางค์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในรายวิชาสุขาภิบาลและการควบคุมคุณภาพอาหาร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ศิริพร ศิริอังคณากุลรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาระบบบริหารจัดการรายวิชาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) อุไรวรรณ รักผกาวงศ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาระบบบริหารการจัดการรายวิชาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยให้ผู้สอนสร้างสื่อการเรียนการสอนในลักษณะ E-learning โดยใช้บริการผ่านทางระบบบริหารจัดการรายวิชา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม แล้วให้นักศึกษษที่เป็นกลุ่มตัวอย่างได้ทดลองใช้ พร้อมทั้งสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความสะดวกในการใช้บริการระบบบริหารจัดการรายวิชาของผู้สอน และศึกษาเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนที่ผู้สอนสร้างขึ้น โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลโดยการ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เจตคติของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนที่ผู้สอนสร้างขึ้นในระบบการบริหารจัดการรายวิชา ผ่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ด้านการนำเสนอ ด้านเนื้อหา และด้านการนำไปใช้ ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยมีเจตคติที่ดีต่อสื่อการเรียนการสอนแต่ละด้านดังนี้ ระบบสามารถแสดงคะแนนที่หลังทำแบบทดสอบเสร็จ เนื้อหาบทเรียนมีความสอดคล่องกับจุดประสงค์ และสามารถส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เรียงตามลำดับ ความคิดเห็นของผู้สอน เกี่ยวกับความสะดวกในการใช้บริการระบบริหารจัดการรายวิชาด้านการจัดการของผู้สอน ด้านการประมวลผลของนักศึกษา ด้านความรับผิดชอบของนักศึกษาทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเหมาสมมากที่สุด โดยมีความคิดเห็นต่อระบบบริหารจัดการรายวิชา ดังนี้สะดวกในการสร้างแบบทดสอบได้หลายวิธี และสร้างแบบทดสอบแบบสุ่มข้อสอบได้ สะดวกในการเรียกดูคะแนนนักศึกษา และสะดวกที่ให้นักศึกษาทำข้อสอบชุดเดียวได้มากกว่า 1 ครั้ง เรียงตามลำดับ