คณะสังคมศาสตร์และการพัฒนาท้องถิ่น

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/163

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 12
  • รายการ
    การบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อนุวัฒน์ ชมภูปัญญา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้ตารางคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.724 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว รองลงมาคือ เส้นทางการเข้าถึงชุมชน ด้านการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านการจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน ด้านการจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ 2. ปัจจัยการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีผลต่อการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า แนวทางการบริหารจัดการชุมชนสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มี 6 ข้อ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว 2) การจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน 3) การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว 4) ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) เส้นทางการเข้าถึงชุมชน และ6) การจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน
  • รายการ
    ประสิทธิผลการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสําหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการ ธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ชิดชนก ชัยวัฒน์ตระกูล; ธนัสถา โรจนตระกูล; โชติ บดีรัฐ
    การศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่สามารถใช้และยื่นสินเชื่อ จำนวน 264 คน จากสูตรของยามาเน่ เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.881 สถิติ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test และ F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พบว่า ลูกค้าที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า ควรดำเนินการ คือ 1) การประเมินโครงการก่อนดำเนินการที่ผ่านมาให้เห็นถึงปัญหา อุปสรรค 2) การประเมินระหว่างดำเนินการโครงการ เพื่อเป็นการทบทวนแผนของโครงการ 3) การประเมินโครงการหรือการประเมินประสิทธิภาพ การประเมินที่ให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินโครงการในเชิงของประสิทธิภาพ และ 4) การพัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการ เพื่อนำผลการดำเนินงานที่ผ่านมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานต่อไป
  • รายการ
    แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อานุภูม มณเฑียร; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; โชติ บดีรัฐ
    การศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกกรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจกับบุคลากรของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จำนวน 236 คน โดยเก็บจากประชากรทั้งหมด เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test การทดสอบค่า F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการรายงานผลการปฏิบัติการ รองลงมา คือ ด้านการอำนวยการและการสั่งการ ด้านการจัดองค์กรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ ด้านการบริหารงบประมาณในพื้นที่ ด้านการกำหนดนโยบายและการวางแผน ด้านการจัดบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ และด้านการประสานงาน ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก พบว่า บุคลากรที่มี เพศ อายุ การศึกษา ตำแหน่ง เงินเดือน และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก ไม่แตกต่างกันทุกด้าน 3. แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า 1) การดำเนินการสำรวจจัดทำทะเบียนจำนวนโบราณสถานทั้งหมดให้ชัดเจน 2) การดำเนินการทางด้านงานวิชาการและงานบูรณะโบราณสถาน 3) การดำเนินการถ่ายทอดข้อมูลองค์ความรู้ด้านแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ 4) การดำเนินการประสานงานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและชุมชน และ 5) การดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนผลประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่จากการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วัชรพล อรุณรัตน์; ธนัสถา โรจนตระกูล; ภาสกร ดอกจันทร์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ 3. เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างเก็บข้อมูล จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามมีลักษณะแบบเลือกตอบอย่างใดอย่างหนึ่งจาก 2 คำตอบ และประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (%), ค่าเฉลี่ย (x̄), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.), t - test และF - test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ โดยรวมอยู่ในระดับนาน ๆ ครั้ง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการป้องกันตนเองของประชาชน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และรองลงมา คือ ด้านการดำเนินการในกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน และด้านการป้องกันสำหรับสถานที่ทำงาน หรือสถานประกอบการ 2. ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพ รายได้ ระดบการศึกษา และสถานภาพสมรส มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศและอายุ ไม่มีผลต่อความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในเขตจังหวัดแพร่ สรุปได้ว่า ควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ในการรักษาระยะห่าง การสวมีหน้ากากอนามัย การล้างมือเพื่อขจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆและเข้ารับการตรวจหาเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 กรณีที่เดินทางไปสถานที่มีความเสี่ยงรวมทั้งเพิ่มการประชาสมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีทัศนคติที่ตระหนักและทราบถึงสาเหตุ ความรุนแรง และวิธีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ดำรงค์ชัย หยวกยง; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น 2) ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุนที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น และ 3) แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ ข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร จำนวน 219 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ ท้องถิ่นจังหวัดพิจิตร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร นายกเทศบาลเมือง นายกเทศบาลตำบล จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t- test F-test การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านเวลาที่ใช้ในงาน (x̄= 4.25) รองลงมาด้านคุณภาพงาน (x̄= 4.22) ด้านปริมาณงาน (x̄= 4.19) และด้านค่าใช้จ่าย (x̄= 4.11) 2. ปัจจัยด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านได้รับการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้าในการทำงาน ด้านนโยบายการบริหารขององค์กร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กร และด้านความมั่นคงในงาน มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่นในอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการท้องถิ่น พบว่า มีการกำหนดนโยบายการบริหารขององค์กรที่ชัดเจน ความรับผิดชอบให้เหมาะสมกับตำแหน่งและความสามารถ ส่งเสริมการประสานงานภายในหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความร่วมมือปฏิบัติงานสำเร็จตามเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงสร้างความรู้สึกถึงความมั่นคงในการทำงาน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ข้าราชการท้องถิ่นที่จะปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • รายการ
    การปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 : กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก
    (2567) ศริลินทิพย์ สระสิทธิ์; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 2) เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 และ 3) ศึกษาแนวทางการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0: กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ บุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 290 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ บุคลากรระดับสูงในองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ F-test ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 เกี่ยวกับความพร้อมของบุคลากร ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านแรงจูงใจ (x̄= 4.60) ด้านความรับผิดชอบในงาน (x̄= 4.58) ด้านทัศนคติ (x̄= 4.55) ด้านทักษะ (x̄= 4.51) ด้านความรู้ (x̄= 4.43) และองค์ประกอบของการเป็นองค์การ Digital 4.0 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร (x̄= 4.65) ด้านการหาพันธมิตรเข้ามาช่วย (x̄= 4.64) ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ (x̄= 4.60) ด้านการมีจุดแข็งเป็นของตัวเอง (x̄= 4.57) 2. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ และตำแหน่งงาน ต่างกันมีผลทำให้ความพร้อมของบุคลากรและความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของการเป็นองค์การ Digital 4.0 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางการปรับเปลี่ยนองค์การภาครัฐสู่ยุค Digital 4.0 พบว่า มีการกำหนดนโยบายการปรับเปลี่ยนองค์การ ทั้งด้านการพัฒนาระบบงานและการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบงาน เพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้การปฏิบัติงานภายในองค์กรสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร
  • รายการ
    การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กล้าณรงค์ แสนพะเยาว์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; ธนัสถา โรจนกูล
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 2) ปัจจัยที่ ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ สมาชิกชุมชนท่องเที่ยว 3 ชุมชน จำนวน 335 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้นำชุมชนหรือผู้แทนชุมชน คณะกรรมการชุมชน และสมาชิกในชุมชน จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่แนวคิดและความสามารถของคน คุณภาพชีวิตคนในชุมชน ความเข้มแข็งของชุมชนและการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ของชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ปัจจัยด้านความชัดเจนของนโยบาย ด้านศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านทรัพยากร ด้านทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ด้านการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผล ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 3. แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่า 3.1 ความชัดเจนของนโยบาย ควรกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วม ให้ชัดเจน เพื่อสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ให้แก่คนในชุมชน 3.2 ศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ควรจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว 3.3 ทรัพยากร ควรมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนผ่านเฟชบุค (Facebook) ไลน์ (Line) และเว็บไซด์ (website) ของหน่วยราชการ 3.4 ทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ควรฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจการท่องเที่ยวแก่คนในชุมชน 3.5 ชุมชนควรมีการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลความพึงพอใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีต่อกิจกรรมและบริการของท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่อไป
  • รายการ
    แนวทางการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ชลธิชา ทองทา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นต่อบทบาทหน้าที่ และศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 210 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ นายอำเภอพรหมพิราม ปลัดอำเภอ เสมียนตราอำเภอ เกษตรอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ และพัฒนาการอำเภอ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. บทบาทหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านการบริการ (x̄ = 4.39) ด้านการปกครองและการรักษาความสงบเรียบร้อย (x̄ = 4.30) ด้านการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน (x̄ = 4.28) ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม ระดับมาก (x̄ = 4.21) และศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ (x̄ = 4.39) ด้านทักษะในการปฏิบัติหน้าที่ (x̄ = 4.28) ด้านความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ (x̄ = 4.25) 2. ปัจจัยบทบาทหน้าที่ ได้แก่ ด้านการปกครองและการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม ด้านการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ด้านการบริการ ส่งผลต่อศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. แนวทางการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้าน พบว่า มีการจัดอบรมให้ความรู้ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และการใช้สื่อออนไลน์ เช่น Facebook และ LINE เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และมีการติดตามประเมินผล เพื่อให้เข้าใจหลักเกณฑ์ กระบวนการ และขั้นตอน ในการปฏิบัติหน้าที่ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว รวมถึงจัดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานของกำนันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีศักยภาพมากขึ้น
  • รายการ
    การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชนในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ศักดิ์ดา เอี่ยมชัย; ธนัสถา โรจนตระกูล; ภาสกร ดอกจันทร์
    การศึกษาวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชนในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่น 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่น 3) ศึกษาปัญหา อุปสรรค และแนวทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชนในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธีเก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง อายุตั้งแต่ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก โดยใช้แบบสอบถาม และศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องร่วมกับการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 34 คน ผลการวิจัย พบว่า 1. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของผู้ตอบแบบสอบถามในภาพรวมอยู่ในระดับมากทั้งในด้านการตัดสินใจในการเลือกตั้ง ด้านการดำเนินการเลือกตั้ง และด้านการร่วมรณรงค์เลือกตั้ง 2. ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นด้านการดำเนินการเลือกตั้ง ได้แก่ เพศ สถานภาพสมรส การศึกษา และรายได้ 3. ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นด้านการร่วมรณรงค์เลือกตั้ง ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา รายได้ และตำแหน่งในท้องถิ่น 4. ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นด้านการตัดสินใจในการเลือกตั้ง ได้แก่ เพศ และตำแหน่งในท้องถิ่น โดยเสนอแนะแนวทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชนในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ การส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสาร การเสริมสร้างความสามารถในการมีส่วนร่วมทางการเมือง การสร้างและส่งเสริมการเข้าร่วมประชุม และการสร้างโอกาสในการฝึกอบรมและ พัฒนาทักษะ
  • รายการ
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน OTOP นวัตวิถีในเขตอําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นฤมล กุมภาพันธ์; ธนัสถา โรจนตระกูล; โชติ บดีรัฐ
    งานวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน OTOP นวัตวิถีในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 2. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วม ที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีในเขตอําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลผ่านแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า 1.ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เรียงตามระดับค่าเฉลี่ย 3 อันดับแรก ดังนี้ ด้านการรับผลประโยชน์ ด้านการประเมินผล และด้านการดําเนินการ อยู่ในระดับมาก 2.ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วม พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ แตกต่างกันส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 และปัจจัยส่วนบุคคล อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนและระยะเวลาที่อาศัย ต่างกันส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ไม่มีความแตกต่างกัน 3. ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า ปัจจัยด้านเส้นทางเดินทางท่องเที่ยวในชุมชนอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านสิ่งดึงดูดใจอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านที่พักอยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านกิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นจุดเด่นอยู่ในระดับปานกลาง