คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/170
ค้นหา
18 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา”(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ทิพย์สุดา นัยทรัพย์การวิจัยชุดนี้จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา” และหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน 3 ด้านคือ 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนของนักศึกษา และ3)เจตคติของนักศึกษาต่อบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้ บทเรียนสำเร็จรูป และแบบสอบถามวัดเจตคติ ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดในภาพรวมเท่ากับ 87.45/77.27 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดคือ 75/75 ยกเว้น ชุดที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย ส่วนใหญ่ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป นักศึกษามีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 ด้านเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทั้ง 5 ชุด พบว่า นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหาทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผลและเปิดโอกาสให้นักศึกษารู้หลักธรรมควบคู่กับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63 วิจัยคอลเลกชัน วิจัยสถาบันคอลเลกชัน วิทยานิพนธ์คอลเลกชัน หนังสือทรงคุณค่าคอลเลกชัน รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมากรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การเปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทย โดยใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุลณีย์ บุญมี; วาสินี มีเครือเอี่ยมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน2) เปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทยของผู้เรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันและ 3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน ผลการวิจัยพบว่า 1)คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.30/92.67 และคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.10/90.93 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลการสื่อสารของกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลการสื่อสารของนักเรียนที่เรียนด้วยคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและอักษรโรมัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 4.40 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 และ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.35 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60โดยผลการจัดการเรียนการสอนและการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการทั้ง 2 วิธี อยู่ในระดับมากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการละคร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) ปรีศนา เอี่ยมสะอาด; สกล เกิดผลการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารก่อนและหลังการเรียนโดยใช้กิจกรรมการละครและศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มภาษา-สังคม เน้นภาษาอังกฤษ โรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชมูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลากเลือกห้องเรียน 1 ห้องเรียน มีนักเรียน 26 คน ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 7 สัปดาห์ จำนวน 21 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1)แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการละคร 2)แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร จำนวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (ภาคทฤษฎี) ฉบับที่ 2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (ภาคปฏิบัติ) 3)แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละครการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (X) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1.ความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการละครสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2.ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละครอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ปิยนุช อินทร์ธนู; สุชาดา เจียพงษ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป และวิเคราะห์ประเภทวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป จำนวน 32 เรื่อง โดยใช้กรอบแนวคิดคุณธรรม 8 ประการของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเกณฑ์ ได้แก่ 1) ขยัน 2) ประหยัด 3) ซื่อสัตย์ 4) มีวินัย 5) สุภาพ 6) สะอาด 7) สามัคคี 8) มีน้ำใจ และกรอบการวิเคราะห์วัจนกรรมการสอนคุณธรรมที่นำมาจากแนวคิดของ John R. Searle 5 ประเภท คือ 1) วัจนกรรมการกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว 2) วัจนกรรมการกล่าวสั่ง 3) วัจนกรรมการกล่าวผูกพัน 4) วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก 5) วัจนกรรมการกล่าวประกาศหรือแถลงการณ์ ผลการศึกษาคุณธรรม 8 ประการ พบคุณธรรมครบทุกด้านโดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ คุณธรรมด้านมีน้ำใจ พบความถี่ 18 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 56.25 คุณธรรมด้านความสุภาพและความสามัคคี พบความถี่ 8 เรื่องเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 25 คุณธรรมด้านมีวินัย พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 คุณธรรมด้านความสะอาด พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 คุณธรรมด้านความขยันและคุณธรรมด้านความประหยัด พบความถี่เท่ากัน 2 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 6.25 และคุณธรรมความซื่อสัตย์พบความถี่ 1 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.12 ตามลำดับ ผลการศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม พบวัจนกรรม 4 ประเภท โดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ วัจนกรรมกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว พบความถี่ 21 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 65.63 วัจนกรรมกล่าวสั่ง พบความถี่ 13 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40.63 วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และวัจนกรรมการกล่าวผูกพัน พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 ตามลำดับ