มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 36
  • รายการ
    ประสิทธิผลของการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตภาคเหนือตอนล่าง 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กัลยารัตน์ วุฒิปรัชญานันท์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; ภาสกร ดอกจันทร์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ และ 3) เพื่อศึกษาแนวทาง ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างเชิงปริมาณกับ เชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 420 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ความเชื่อมั่น (Reliability) อยู่ระหว่าง 0.87 - 0.99 สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) สำหรับค่านัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์นี้กำหนดไว้ที่ระดับ .05 เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น ผู้วิจัยจะใช้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม คือจำนวน 9 คน คัดเลือกวิธีการแบบเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย = 4.44 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ด้านนิติธรรมมีระดับมาก มีค่าเฉลี่ย = 4.47 รองลงมาได้แก่ ด้านการตอบสนอง มีค่าเฉลี่ย = 4.45 ด้านประสิทธิภาพ ด้านมุ่งฉันทามติ มีค่าเฉลี่ย = 4.44 ด้านประสิทธิผล ด้านความโปร่งใส ด้านการมีส่วนร่วม มีค่าเฉลี่ย = 4.43) ด้านการกระจายอำนาจ มีค่าเฉลี่ย = 4.42 และน้อยที่สุดได้แก่ ด้านภาระรับผิดชอบ มีค่าเฉลี่ย = 4.41 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปปฏิบัติ ทั้ง 4 ปัจจัย ได้แก่ สมรรถนะของบุคลากร ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การมีส่วนร่วมขององค์กร และวัฒนธรรมองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ .286, .281, .213 และ .207 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .665 หรือ 66.50% ส่วนแนวทาง ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการนำนโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปฏิบัติ พบว่า ผู้นำการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ต้องตระหนักให้ดีเกี่ยวกับการบริหารองค์กรในเรื่องของความคุ้มค่า มีประสิทธิผล
  • รายการ
    การพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) สุกัลยา ประจิตร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจภาวะการมีงานทำจากการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายส่งเสริมการ มีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ใช้การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยสูตร Taro Yamane ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) การสำรวจภาวะการมีงานทำต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=2.73; S.D.= 0.71) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ภาวะการมีงานทำอยู่ในระดับมาก 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการแรงงานผู้สูงอายุของชุมชน (x̄= 3.97; S.D.= 0 .69) และด้านการสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของผู้สูงอายุ (x̄ =3.87; S.D. = 0.93) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ด้านอัตราค่าจ้าง สวัสดิการผู้สูงอายุ (x̄=1.66; S.D. = 0.55) 2)ปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า ด้านข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ (Beta =.761) ปัญหาด้านการสร้างมุมมองใหม่ในสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Beta =.397) ด้านการขาดการประสานงานความร่วมมือในพื้นที่ (Beta =.439) ตามลำดับและ 3)แนวทางการพัฒนานโยบายส่งเสริมการมีงานทำสำหรับผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร พบว่า แรงงานผู้สูงอายุต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกับเอกชนให้ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุและต้องการให้จัดอบรมพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานปัจจุบัน รวมถึงร่วมบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายกับหน่วยงานอื่น ๆ อย่างจริงจัง และติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
  • รายการ
    แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พนาวัน เปรมศรี; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง วิธีการศึกษาเป็นวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง 395 คน ใช้การคำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยสูตร Taro Yamane เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหูคูณเชิงเส้นตรง (Multiple linear regression analysis) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.98) เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ระดับการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง อยู่ในระดับมากทั้ง 6 ด้าน 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง (y) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีจำนวน 4 ตัวแปร เรียงลำดับผลต่อการผันแปรจากมากที่สุดไปหาน้อย คือ ด้านการบริหารจัดการ (X₈ Beta = .320) ด้านเงินหรืองบประมาณ (X₆ Beta = .265) ด้านคนหรือบุคคล (X₅ Beta = .118) และด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ (X₂ Beta = .084) และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียวแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มมหาวิทยาลัยภาคเหนือตอนล่าง พบว่า ควรมุ่งพัฒนาศักยภาพให้บุคลากรมีความพร้อมตอบสนองต่อนโยบายมหาวิทยาลัยสีเขียว โดยเฉพาะส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายในทุกขั้นตอนมากขึ้น และปรับพฤติกรรมส่วนบุคคลของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย ทั้งการปรับทัศคติ และจิตสำนึกให้มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากยิ่งขึ้
  • รายการ
    ตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วรรณวิภา ไตลังคะ; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    การเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจสําคัญ การขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปภาคเกษตรโดยการสร้างเกษตรมูลค่าสูงจึงเป็นหมุดหมายลำดับแรก ซึ่งความร่วมมือเชิงบูรณาการของทุกภาคส่วนถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ ปัญหา และคุณลักษณะการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูง 2) พัฒนาตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูง และ 3) นำเสนอแนวทางการนำตัวแบบเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงไปสู่การปฎิบัติ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จากทีมบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 280 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 24 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อวิเคราะห์สมการโครงสร้าง ทดสอบความสัมพันธ์ และความสอดคล้องของโมเดล ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดปทุมธานี มีการส่งเสริมการเกษตรมูลค่าสูงได้ดีที่สุด ในด้านการขยายระบบชลประทาน รองลงมาคือ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ การรวมผลิตรวมจำหน่าย การเพิ่มมูลค่าสินค้าตามแนวทาง BCG การสร้างผู้ประกอบการเกษตร การเข้าถึง Big data ด้านการเกษตร การส่งเสริมสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง และการพัฒนาคลัสเตอร์ทางชีวภาพ ตามลำดับ 2) ผลการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของตัวแบบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พบค่าที่แสดงว่าตัวแบบผ่านเกณฑ์และมีความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างคือ chi-square = 980.145, chi-square/df = 2.841, p = 0.000, CFI = 0.945, IFI = 0.942, และ RMSEA = 0.074 และ 3) แนวทางการนำตัวแบบไปปฎิบัติคือ การป้องกันโซนเกษตร การบริหารจัดการน้ำไฟฟ้าแสงสว่าง การสร้างตลาดชุมชน การทำทะเบียนกลุ่มอาชีพ การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจัดโครงการศึกษาดูงานเกษตรกรรมยั่งยืน การจัดกิจกรรมฟื้นฟูและอนุรักษ์ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ดำรงค์ ทองศรี; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 14,705 หลังคาเรือน มีประชากร 30,637 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 390 ครัวเรือน ๆ ละ 1 คน รวมถึงผู้ตัวอย่าง 390 คน ซึ่งผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากครัวเรือนในแต่ละชุมชนโดยใช้ตารางเลขสุ่ม (Table of Random Numbers) ส่วนการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่ม (Focus Group) ผลการวิจัย พบว่า สภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ มี 3 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะมูลฝอย 2. ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการจัดการขยะมูลฝอย และ 3. ปัจจัยด้านพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอย ส่วนแนวทางในการสร้างรูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าได้ค้นพบรูปแบบ “UTTARA Model” ซึ่งมีแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอย 6 ด้าน ตามขั้นตอน UTTARA Model ประกอบด้วย 1. ด้านการกระตุ้นให้ร่วมมือจัดการขยะมูลฝอย (Urge : U) 2. ด้านการคัดแยกขยะมูลฝอย (Trash Distinguish : T) 3. ด้านการเก็บขนขยะมูลฝอย (Transport : T) 4. ด้านการฝังกลบขยะมูลฝอย (Action Landfill : A) 5. ด้านการกำจัดขยะมูลฝอย (Rid Waste : R) และ 6. การแต่งตั้งคณะทำงานด้านขยะมูลฝอย (Appoint : A) นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขความสำเร็จของการใช้รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 2 เงื่อนไข ได้แก่ 1. ความตั้งใจของฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติการทุกระดับ และ 2. ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและแกนนำภาคประชาชนในพื้นที่ จากการตรวจสอบรูปแบบฯ พบว่า รูปแบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามแนวทาง UTTARA Model มีความเหมาะสม มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นประโยชน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
  • รายการ
    การบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน กรณีศึกษาเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนสุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กรรณิการ์ ไกรกิจราษฎร์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    การท่องเที่ยวถือมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในระดับโลก ปัจจุบันจากสถิติพบว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลจากการท่องเที่ยวนั้น มีจำนวนมากขึ้นทุกปีต่อเนื่องกัน กล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลของทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับนโยบาย ด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก การวิจัยครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริการจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน 2) เพื่อเปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน เป็นวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา แจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบค่า t - test F - test รายคู่ LSD และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพ การสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก จำนวน 10 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านการดึงดูดทางการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศักยภาพของบุคลากรชุมชน ด้านการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ด้านการสร้างการรับรู้คุณค่า ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัย 2) เปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยว พบว่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยว และหากมีการจัดเส้นทางการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่ไปท่องเที่ยวมากที่สุด มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = .778**, -.746** , P<.01 = 0.03, 0.00) ส่วนด้านอื่นมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง-ต่ำตามลำดับ 3) แนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า ต้องเริ่มจากคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็ง เครือข่ายทุกภาคส่วนต้องส่งเสริมผลักดัน ชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความรู้สึกปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ รักษาความเป็นเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียง รู้รักหวงแหนมองเห็นคุณค่า เชื่อมโยงการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู อนุรักษ์ พัฒนา ต่อยอดสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน อย่างยั่งยืน
  • รายการ
    การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคม
  • รายการ
    รูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติในจังหวัดสระบุรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วาธิณี วงศาโรจน์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    ปัจจุบันในประเทศไทย เด็กปฐมวัยมีปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ด้านพัฒนาการเด็กและการเล่น ด้านการเจริญเติบโตและโภชนาการ ด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และด้านสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยและป้องกันควบคุมโรค และเด็กปฐมวัยได้รับการดูแลในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นส่วนใหญ่ จึงมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในการศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา 2) ระดับการบริหาร 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี และ 4) เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้รับผิดชอบงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ภาคีเครือข่าย ผู้บริหาร และครูผู้ดูแลเด็ก ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี จำนวนทั้งสิ้น 235 คน และสัมภาษณ์ผู้บริหารสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี กระทรวงละ 1 คน รวมจำนวน 4 คน และสนทนากลุ่ม ผู้รับผิดชอบงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ภาคีเครือข่าย ผู้บริหาร และครูผู้ดูแลเด็ก ในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย สังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสระบุรี สังกัดละ 5 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ครั้งนี้ ได้แก่ Percentage, mean median, Standard deviation,Multiple Regression analysis, Content Analysis ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพปัจจุบันและปัญหาการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ด้านพัฒนาการเด็กและการเล่น ด้านการเจริญเติบโตและโภชนาการ ด้านสุขภาพช่องปากและฟัน และด้านสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยและป้องกันควบคุมโรค 2. ระดับการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรี พบว่า ปัจจัยการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คือ ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .000 และ .001 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก มีผลต่อการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ คือ ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านกฎหมาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .035, .039 และ .000 ตามลำดับ 4. รูปแบบการบริหารการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พื้นที่จังหวัดสระบุรีไปปฏิบัติที่เด่นชัดที่สุดคือ ควรมีการส่งเสริมปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมทั้งในด้านครอบครัว และด้านชุมชน ส่วนปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านกฎหมาย
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) สิริลักษณ์ วงศ์ประสิทธิ์; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยเล่มนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนว แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ดำเนินการโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานด้านการแนะแนวในสถานศึกษาตามแนวทางการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ สังเคราะห์องค์ประกอบจากศึกษาเอกสาร ตํารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและยืนยันองค์ประกอบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ จำนวน 5 คน โดยใช้สูตรการคำนวณดัชนีความสอดคล้อง (Item-Objective Congruence Index: IOC) ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยการนำองค์ประกอบของการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ระยะที่ 1 มาพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการ แนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ และตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยการจัดสนทนากลุ่ม (Focus group Discussion: FGD) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน และ ระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 12 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ด้านนโยบายงานด้านการแนะแนว 2. ด้านการจัดบริการแนะแนวและให้คำปรึกษา 3. ด้านการวางแผนงานด้านการแนะแนว 4. ด้านโครงสร้างบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 5. ด้านระบบบริหารงานด้านการแนะแนว 6. ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานแนะแนวแบบมุ่งสัมฤทธิ์ ผลตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาว่าเหมาะสม ส่วนผลการประเมินรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างพิจารณาว่ามีความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ทุกองค์ประกอบ
  • รายการ
    ประสิทธิผลการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ จังหวัดบุรีรัมย์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กิตติพล บัวทะลา; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผล ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลและแนวทางการเพิ่มประสิทธิผลในการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ใช้รูปแบบวิจัยแบบผสม (Mixed Research Method) ระหว่างวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ คณะกรรมการแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ คณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น คณะกรรมการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น ใช้แบบสอบถาม จำนวน 230 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือผู้บริหาร ปลัดเทศบาล และนายอำเภอที่อยู่ในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เคยได้รับรางวัลบริหารจัดการที่ดี ใช้แบบสัมภาษณ์ จำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า ระดับประสิทธิผลในการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อยคือ ด้านบรรลุผลนโยบายรัฐบาล รองลงมาคือด้านตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชน และด้านบรรลุผลนโยบายผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนปัจจัยการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อย คือด้านความชัดเจนของแผนบูรณาการ รองลงมาคือด้านสมรรถนะของหน่วยงาน ด้านการติดต่อสื่อสาร และด้านทรัพยากรในการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปปฏิบัติ โดยปัจจัยด้านความชัดเจน ทรัพยากรการติดต่อสื่อสาร และสมรรถนะของหน่วยงาน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และมีแนวทางการเพิ่มประสิทธิผลในการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปสู่การปฏิบัติ คือเงื่อนเวลา ปริมาณ คุณภาพสถานที่ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จริง ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังโครงการ และความจำเป็นเร่งด่วนนำไปสู่ประสิทธิผลในการนำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ 3 ด้าน คือ 1) ด้านบรรลุผลนโยบายรัฐบาล 2) ด้านตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชน 3) ด้านบรรลุผลนโยบายผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วนำไปใช้ในการพัฒนาการจัดทำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ต่อไป