คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 14
  • รายการ
    การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลางเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปี ที่ 5
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รักษ์สุดา หลวงใหญ่; ภานุมาศ หมอสินธ์
    การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดของนักเรียนหลังเรียนจากเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลางกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการการวิจัยได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนศิลป์-ภาษาจีน โรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา จำนวน 25 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้เกิลคลาสรูม (Google Classroom) 2) คู่มือการใช้บทเรียนออนไลน์โดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) 3) แบบประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลาง 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 การเปรียบเทียบข้อมูลแบบ One Sample test ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ซึ่งประกอบด้วยคลิปวิดีโอการสอนเรื่องการบอกทิศทาง จำนวน 6 ตอนมีประสิทธิภาพ 81.75/80.25 ซึ่งมีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยการประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.20 (คะแนนเกณฑ์ 16 คะแนน) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิง โดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ภาพรวมอยู่ในระดับดี (x̄ = 4.28, S.D. = 0.59) อยู่ในระดับมาก
  • รายการ
    การพัฒนาแบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วรรณนิภา มะณีธรรม; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาผลการใช้แบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ดังนี้ 2.1) ศึกษาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐาน ในการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2.2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ขั้นตอนที่ 2 การใช้แบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านพุกระโดน ตำบลไทรย้อย อำเภอเนินมะปราง จังหวัด พิษณุโลก จำนวน 15 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) ทดลองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกโดยใช้สมองเป็นฐานในการเรียนรู้ ที่เสริมสร้างความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีจำนวน 5 เล่ม ในแต่ละแบบฝึกมีองค์ประกอบ คือ ชื่อแบบฝึก คำชี้แจง จุดประสงค์ การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรม เฉลยแบบฝึก โดยแต่ละแบบฝึกมีประสิทธิภาพ E1/E2 คือ แบบฝึกที่ 1 = 77.95/77.50 แบบฝึกที่ 2 = 78.57/77.50 แบบฝึกที่ 3 = 78.16/77.50 แบบฝึกที่ 4 =78.78/77.50 แบบฝึกที่ 5 =78.37/77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญโดยรวมในระดับมาก (ร้อยละ 77.50) และนักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ หลังเรียน (x̄ = 15.50) สูงกว่าก่อนเรียน (x̄ = 10.21) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุจิตรา อิ่มกระจ่าง; เกสร กอกอง
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดสุพรรณพนมทองก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ขั้นตอนที่ 2 การใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 14 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.40) ซึ่งชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.38) และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.43) มีประสิทธิภาพ ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ 1 = 83.07/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 2 = 85.19/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 3 = 86.24/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 4 = 82.01/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 5 = 84.39/80.95 2) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์โดยรวมในระดับมากที่สุด มีประสิทธิภาพร้อยละ 80.95 และ 3) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 7.29) สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 5.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การพัฒนาแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถ ในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุดารัตน์ นวนวิใจ; เกสร กอกอง
    งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL 3) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ขั้นตอนที่ 2 การใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 10 คน ทดลองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่าน จับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และคู่มือการใช้แบบฝึกมีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.05) โดยมีประสิทธิภาพ ดังนี้ แบบฝึกที่1 = 78.00/77.00 แบบฝึกที่ 2 = 78.67/77.00 แบบฝึกที่ 3 = 79.33/77.00 แบบฝึกที่ 4 = 80.00/77 แบบฝึกที่ 5 = 81.33/77.00 (2) นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญโดยรวมในระดับมาก (ร้อยละ 77.00) และ (3) นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญหลังเรียน (x̄ = 15.4) สูงกว่าก่อนเรียน (x̄ = 10.8 ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง เพื่อส่งเสริมความสามารถ ด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปี ที่ 5
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รักษ์สุดา หลวงใหญ่; ภานุมาศ หมอสินธ์
    การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดของนักเรียนหลังเรียนจากเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการการวิจัยได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนศิลป์ -ภาษาจีน โรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา จำนวน 25 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้เกิลคลาสรูม (Google Classroom) 2) คู่มือการใช้บทเรียนออนไลน์โดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) 3) แบบประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลาง 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 การเปรียบเทียบข้อมูลแบบ One Sample test ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ซึ่งประกอบด้วยคลิปวิดีโอการสอนเรื่องการบอกทิศทาง จ านวน 6 ตอนมีประสิทธิภาพ 81.75/80.25 ซึ่งมีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยการประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.20 (คะแนนเกณฑ์ 16 คะแนน) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ภาพรวมอยู่ในระดับ ดี (x̄ = 4.28, S.D. = 0.59) อยู่ในระดับ มาก
  • รายการ
    การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODELรายวิชากฎหมายธุรกิจ โดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปี ที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ขรินทร์ทิพย์ รุจิชีพ; ภานุมาศ หมอสินธ์
    การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)สร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 2 สาขาวิชาการบัญชี ที่เรียนวิชา กฎหมายธุรกิจ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 30 คนซึ่งเลือกแบบเจาะจงจากนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 18 ชั่วโมงโดยแบ่งเป็น 7 ชุดกิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม ประกอบด้วยคำนำ คำชี้แจงโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ตาม MIAP MODEL สารบัญ คำชี้แจงสำหรับครู คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตาม MIAP MODELแบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ ใบงาน แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบโดยกิจกรรมและคู่มือมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.49, S.D.=0.56) และมีประสิทธิภาพ 82.55/82.93 และ 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีผลความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.27, S.D.=0.52)
  • รายการ
    การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ชฎาพร สุขสงค์; ธัญณาพร ก่องขันธ์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 24 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติ t-test (one sample) และ t-test (Dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ประกอบด้วยคู่มือการใช้กิจกรรม โดยมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄= 4.89 , S.D. = 0.15) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.27/83.61 2) นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้
  • รายการ
    การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พัชรา ตลับทอง; ภานุมาศ หมอสินธ์
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกลุ่มเดี่ยว ทดสอบสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The one - groups, pretest - posttest design) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรม เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดวังหมู (นิมมานโกวิท) ตำบลหาดกรวด อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกม 2) คู่มือการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัยโดยใช้บอร์ดเกม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย จ านวน 20 ข้อ 4)แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกมจำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 80.94/81.25 ตามเกณฑ์ 80/80 2) ผลของพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายหลังใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนและสูงกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ (ร้อยละ 80) 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง อาณาจักรสุโขทัย โดยใช้บอร์ดเกม ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
  • รายการ
    การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วันทนา เพ็ชรผึ้ง; สกล เกิดผล
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเ กณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล (ดำรงประชาสรรค์) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แบบวัดความสามารถในการสะกดคำ เรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.83/80.88 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมใจ เรือนเพ็ชร; อารีย์ ปรีดีกุล
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 2. เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดังนี้ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STEM Education กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education 2. แบบทดสอบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที t-test แบบ one sample ผลการวิจัย พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 8 แผน โดยการดำเนินการกิจกรรม มี 6 ขั้นตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ดังนี้ 1. ขั้นระบุปัญหา 2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3. ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4. ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา 5. ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน 6. ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา มีผลดังนี้ 1. ค่าคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education มีความเหมาะสมมาก 2. ผลเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education ภาพรวมอยู่ในระดับมาก