คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
รายการ ถูกจำกัด การบริหารการศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2528) หาญชัย สงวนให้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2543) เชาว์ เตล็ดทอง; สรรค์ วรอินทร์; สุดไฉน มีริยะเกิดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพและปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2545) มนู หมอกเมฆ; สรรค์ วรอินทร์; สอน โรจนตระกูล; สุดไฉน มีรียะเกิดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2546) วุฒิพงศ์ ภูมิประพัทธ์; วราพร พงศ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; ภาณุวัฒน์ กักติวงศ์การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนในด้านการบริหารงานโรงเรียนด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้และด้านความสัมพันธ์กับชุมชน และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการจัดการศึกษาการจัดการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับและแบบสอบถามชนิดปลายเปิดดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการให้ตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยด้านการบริหารโรงเรียน ด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านความสัมพันธ์กับชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ส่วนด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้ และประสิทธิภาพการจัดการศึกษา เมื่อจำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก ปีงบประมาณ 2545(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2546) เอื้อบุญ ที่พึ่ง; บุญรักษ์ ตัณฑ์เจริญรัตน์; กุลยา จันทร์อรุณ; สุภาพ รมณีย์พิกุลการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของบุคคลก่อนและหลังการฝึกอบรม ภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก ในด้าน ความรู้ด้านพลังงาน ความรู้ด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้า พฤติกรรมด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 241 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS สถิติที่ใช้คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการฝึกอบรม มีพฤติกรรมการปฏิบัติด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า ก่อนเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง และมีพฤติกรรมการปฏิบัติด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าหลังเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับการปฏิบัติมาก 2.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการฝึกอบรม เพศชายและเพศหญิง มีพฤติกรรมการปฏิบัติก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง และมีพฤติกรรมการปฏิบัติหลังเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก 3.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง หลักสูตรระดับพื้นฐาน มีพฤติกรรมการปฏิบัติก่อนเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก ส่วนหลักสูตรระดับกลาง และหลักสูตรระดับสูง มีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง พฤติกรรมการปฏิบัติหลังเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรระดับพื้นฐาน และหลักสูตรระดับกลาง มีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ส่วนหลักสูตรระดับสูงมีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 4.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อนเข้ารับการฝึกอบรมในภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าหลังเข้ารับการฝึกอบรม ในภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 6.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม แยกตามหลักสูตร มีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้า ในภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วันชัย พฤกษะวัน; สุรชัย ขวัญเมือง; วีรพงษ์ อินร์ทอง; อดุล วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ใน 7 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานและความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 206 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามลักษณะเป็นเลือกตอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีความเห็นโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปน้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณความพร้อมด้านการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต และความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามลำดับ ส่วนครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปย้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการบริหารงานทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในและความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ตามลำดับรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยและพัฒนาชุดฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาและฝึกอบรมครู เรื่องการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วิราพร พงศ์อาจารย์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาเพื่อพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกแนวพุทธศาสนา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) พิชัย จันทยา; อำนวยพร สุนทรสมัย; สมคิด ศรีสิงห์; วีระพงษ์ อินทร์ทองการศึกษาเพื่อพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกแนวพุทธศาสนามี จุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกกำหนดหลักการและ ประเด็นการพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพแนวพุทธศาสนาและพัฒนาระดับจรรยาบรรณของตัวแทนประกันชีวิตตาม แนวทางพุทธศาสนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การศึกษา ได้แก่ ผู้เอาประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 390 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (simple Random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบ ถามชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง วิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร ์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป spss for windows สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในขั้นตอนการพัฒนาระดับ จรรยาบรรณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ตัวแทนประกันชีวิตในโครงการพัฒนาพลังขายใหม่ สังกัดบริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด จำนวน 36 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองแบบมีส่วนนร่วมและไม่มีส่วนร่วม โดยการสังเกต สัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความเป็นเหตุเป็นผลและผสมผสานข้อมูลที่ค้นพบกับ หลักธรรมและคำสอนในแนวพุทธศาสนา และพรรณาวิเคราะห์ (Analytical Descn1ption) ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตใน จังหวัดพิษณุโลกโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีระดับปานกลางในทุกข้อ 2.หลักการและประเด็นในการพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในทุกข้อเริ่มจากตัวแทน ต้องมีสัมมาทิฎฐิ เป็นพลังนำไปสู่การตั้งปณิธานยึดมั่น และปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพจนเกิดการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป 3.ตัวแทนประกันชีวิต ที่ได้รับการอบรม และร่วมกิจกรรมตามแนวพุทธศาสนาในภาพรวมตัวแทน ประกันชีวิตมีสัมมาทิฏฐิเกิดศรัทธาในอาชีพนำไปสู่การตั้งปณิธาณที่จะยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพตัวแทน ส่งผลในการปฏิบิตงานอย่างจริงจัง จนประจักผลในทางที่ดีขึ้น 4. ตัวแทนประกันชีวิตเกิดสัมมาทิฎฐิ ด้วย 2 ปัจจัย คือ ปรโตโฆสะ หรือได้สดับแต่ผู้อื่น (กัลยณมิตร) และโยนิโสมนสิการ หรือการทำในใจโดยแยบคาย 5.การนำสัมมาทิฎฐิสู่การพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตให้สูงขึ้นนั้นตัวแทนประกันชีวิตต้องยึดมั่นหลักธรรม อิทธิบาท 4รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) จิราภรณ์ เอมเอี่ยม; วิราพร พงศ์อาจารย์; บุญรักษ์ ดัณฑ์เจริญรัตน์; เตือนใจ เกียวซีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาความรู้ด้านการตลาด ของกลุ่มอาชีพทอผ้า บ้านม่วงหอม หมู่ที่ 5 ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) ละออ ทรงกฤษณ์; สมคิด ศรีสิงห์; อำนวยพร สุนทรสมัย; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) จั๋ย หยูนเหมย; เอื้อมพร หลินเจริญ; เกษม บุญโญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ช่างต่างประเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษษที่เรียนภาษากับอาจารย์ชาวต่างประเทศซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาศิลปะศาสตร์ โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชั้นปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 และปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2549 จำนวน 246 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน 70 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 223 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศในภาพรวมและแต่ละรายด้านอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) เกศรา เจริญกุล; วิราพร พงษ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; เกษม บุญโญการศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามในด้านความพร้อมของปัจจัยเบื้องต้นที่สนับสนุนการจัดการศึกษา ความเหมาะสมของกระบวนการ และผลผลิตของการจัดการศึกษากลุ่มตัวอย่างใช้ในการประเมินได้แก่ มหาบัณฑิต นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ผู้สอนหรือคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิต จำนวน 113 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลสถิติใช้สถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินการจัดการศึกษาด้านความพร้อมของปัจจัยที่สนับสนุนการศึกษาทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านส่วนใหญ่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากยกเว้นในเรื่อง การใช้สื่อและอุปกรณ์การสอนและการมีเวลาให้คำปรึกษาแก่นักศึกษานอกชั้นเรียนอยู่ในระดับปานกลาง การประเมินกระบวนการในการจัดการศึกษา ในภาพรวมและเป็นรายด้านมีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ยกเว้นเรื่อง การจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิต ทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิต และนักศึกษาเกี่ยวกับความพร้อมด้านปัจจัย พบว่าส่วนใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติส่วนด้านบุคลากรในสำนักงานวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ ไม่แตกต่างกัน 4. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิตและนักศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมด้านกระบวนการทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน 5.ผลการเรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิตความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานของมหาบัณฑิตทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านแตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยและพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการโรงเรียนบ้านวังดินสอ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) มรรค กันมา; วีราพร พงศ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัยการวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ ทดลองใช้และประเมินผลการใช้ระบบของโรงเรียนบ้านวังดินสอ ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 วิธีดำเนินการวิจัย โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(PAR) และกระบวนการวงจรคุณภาพ PDCA ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ การนำระบบไปใช้การประเมินผล การนำผลการประเมินไปปรับปรุงแก้ไข ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนมีปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำคุณลักษณะของนักเรียนยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ครูมีภาระการสอนมากและขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักสูตรการศึกษา พฤติกรรมการสอนไม่เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้ส่วนใหญ่สอนไม่ตรงตามสาขาวิชาที่เรียนมาและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียนน้อย การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของครุไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้ของการพัฒนาครู การพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ ทำฝห้ได้ระบบการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการที่ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการ PDCA และการมีส่วนร่วม(PAR) ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผลการทดลองใช้ระบบ ครูสามารถจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้ดี เข้าใจวิธีการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ครูมีความกระตือรือร้นและเกิดความมั่นใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น มีความรู้สึกที่ต่อการบริหารการศึกษาเป็นวิธีกระตุ้นให้ครูพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีผลการเรียนและพฤติกรรมดีขึ้น แสดงว่าระบบดังกล่าวมีความสัมฤทธิ์ผลและบรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำการเรียนร่วมดีเด่นภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) อารีย์ เพลินชัยวาณิช; ศิริวิมล ใจงาม; อดุลย์ วังศรีคูณในการวิจัยครั้งนี้จุกมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัจจัยในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 ศึกษาสภาพความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่น และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำการเรียนร่วมดีเด่น โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหาร ครูและผู้ปกครอง ในโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 จำนวน 19 โรงเรียน รวม 373 คนโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจับพบว่า สภาพปัจจัยในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านพฤติกรรมหรือคุณลักษณะที่ดีและจำเป็นของผู้บริหาร ด้านคุณลักษณะที่จำเป็นของครู ด้านการจัดหรือใช้สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษา และด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โครงสร้างซีท(SEAT) ทั้งในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก สภาพความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนดีเด่นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อแยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความพึงพอใจที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนร่วมและความก้าวหน้าของเด็กที่มีความต้องการพิเศษอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารในโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นในภาพรวมคือ ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โครงสร้างซีท(SEAT) และด้านคุณลักษณะที่จำเป็นของครู(TEACHER) ได้สมการถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง ดังนี้ ถ้า ŷ และ Zหมายถึง ความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นในภาพรวม ที่ได้จากการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ และรูปคะแนนมาตรฐาน ตามลำดับ จะได้สมการคือ ŷ = 0.87+0.45 SEAT+0.33 TEACHER Z = 0.51Z SEAT + 0.35 Z TEACHERรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับวิธีการสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุภาพร ลุสีดา; ชัยวัฒน์ สิทธิรัตน์; มงคล ภูวิภิรมย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบปกติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนพิณพลราษฎร์ตั้งตรงจิตร 12 อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 62 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวักบุคลิกภาพประชาธิปไตย โดยใช้เวลา 70 นาที ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 20 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยโดยใช้เวลา 70 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทอสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t- test แบบ dependent Sample และ Independent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่ามีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์กับวิธีสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ปราณี จินดาวงษ์; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบางระก้าวิทยศึกษา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 81 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 41 คน กลุ่มควบคุม 40 คน ดำเนินการโดยการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบวัดความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 22 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยเครื่องมือเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทดสอบสมมุติฐานด้วย สถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Sample t – test) และสถิติทีแบบสองกลุ่มเป็นอิสระต่อกัน (Independent Sample t – test) ผลวิจัยพบว่า 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพโรจน์ วัฒนวงศ์สุโข; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและปัญหาในการดำเนินงานบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ และด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลทางการเรียน ของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 2 และเพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหา โดยจำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2548 จำนวน 405 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมารค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย(x) ต่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติกี่ทดสอบค่าเอฟ(F-test) ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารวานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ รองลงมาได้แก่ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพการดำเนินการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับน้อย และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตำแหน่ง และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวม ด้านหลักสูตรสถานศึกษา และด้านการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจำแนกตามตำแหน่ง พบว่าในภาพรวม ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า บุคลากรทางการศึกษาที่สังกัดสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วิลาวัลย์ ประทุมวงศ์; สธน โรจตระกูล; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 66 แห่ง แห่งละ 3 คน ประกอบด้วย นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน รวมทั้งสิ้น 198 คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีค่า Reliability เท่ากับ .95 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้ข้อมูลกลับคืนมา จำนวน 183 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 92.42 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการหาค่าที่ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว จากนั้นทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1.ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก มีความคิดเห็นต่อความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านงบประมาณมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการวางแผน และต่ำสุด ได้แก่ ด้านบุคลากร 2.ผลการเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปร ดังนี้ 2.1จำแนกตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาพรวมไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารเทศบาลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านการวางแผน และด้านบริหารจัดการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2จำแนกตามประสบการณ์การบริหารงาน ภาพรวมและทุกด้านไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานน้อยกว่า 5 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงาน 5 – 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานมากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากด้วยเช่นเดียวกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ผลของการสอนแบบ SSCS ที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาและเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) อิศราวุฒ ส้มซ่า; บุญรักษ์ ตัณฑ์เจริญรัตน์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนแบบ SSCS กับเกณฑ์ร้อยละ 60 ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา และศึกษาเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนแบบ SSCS โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองหัวบัว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 25 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้การสอนแบบ SSCS แบบสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบแบบเติมคำตอบ และแบบวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบค่าที่ (t – test แบบ One Sample Test) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ SSCS มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ SSCS มีเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2ระหว่างการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT และการสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สายชล วนาธรัตน์; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; จุมพต ขำวีระการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT กับการสอนปกติ และเพื่อศึกษาระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้ วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนในเรื่องการแปรผัน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย ใช้หน่วยการสุ่มเป็นห้อง ใช้วิธีการ สุ่มอย่างง่ายมาจำนวน 2 ห้อง และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายอีกครั้ง โดบจับฉลากเพื่อกำหนดเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอนโดยใช้วัฏจักร การเรียนรู้ 4MAT แผนการสอนแบบปกติ แบบวัดผลสัมฤทธิ์หทางการเรียนและแบบวัดความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าที่ (t –test Independent) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT สูงกว่าการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลการศึกษาความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่รับการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT พบว่าระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่ได้รับการสอนโดยวัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT มีระดับความสุขในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับปานกลาง