คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 7 of 7
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    สภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศุภนิตย์ มิ่งไม้; ศิริวิมล ใจงาม; พวงทอง ไสยวรรณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพปัญหาการนิเทศภายในใช้สถิติ (F-test) ส่วนการศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 12 คนเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษโดยตรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพปัญหาในการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต1 ปีการศึกษา 2551 ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาสภาพปัญหาแต่ละด้าน พบว่า ด้านการวัดผลและประเมินผลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านหลักสูตรและการใช้หลักสูตร ตามลำดับ 2.เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม ระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอนในภาพรวม พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนคู่อื่นๆ ไม่แตกต่างกัน 3.แนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม พบว่า ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่อไปนี้ คือ 1) ผู้ให้การนิเทศควรเอาใจใส่ในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 2) บุคคลที่ทำหน้าที่นิเทศควรมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ตนเองจะต้องนิเทศคือมีศักยภาพในการแนะนำ ปรึกษา ช่วยเหลือแก่ผู้รับการนิเทศอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและควรเป็นไปในลักษณะของกัลยาณมิตร 3) ผู้นิเทศควรมีแนวทางที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติและไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสับสน 4) หลังได้รับการนิเทศแล้วผู้ปฏิบัติควรนำข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำของผู้ให้การนิเทศมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้ดีขึ้นและผู้ให้การนิเทศควรติดตามการดำเนินงานหลังให้การนิเทศเพื่อให้ผู้รับการนิเทศกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน 5) ควรมีการบันทึกการนิเทศเป็นรายลักษณ์อักษรทุกครั้งที่มีการนิเทศ 6) ควรมีการประสานความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพราะการจัดการเรียนร่วมจะสำเร็จได้ต้องให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจัง
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พนัส นาคบุญ; อนุชา ภูมิสิทธิพร; สุขแก้ว คำสอน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ พัฒนารูปแบบ ทดลองและศึกษาผลการใช้ และประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนโสตศึกษา 11 โรงเรียน จำนวน 99 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาทดลองและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.72, SD = 0.56) และมีสภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.61, SD = 0.36) ซึ่งสรุปว่า สภาพการจัดการเรียนรู้ โดยครูในโรงเรียนโสตศึกษามีการวัดผลและประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง และ มีความคาดหวังต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น 2.คุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.75, SD = 0.26) และคุณภาพของคู่มือครูประกอบการใช้รูปแบบการจัด การเรียนรู้ฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.66, SD = 0.37) 3.ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ พบว่า ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ก่อนการทดลอง และ หลังการทดลองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.74, SD = 0.31)
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมบัติ ลำคำ; สุวพัชร์ ช่างพินิจ; ไพวรรณ สุตวรรค์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหา แนวทางและความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก ประชากรเป็นครูผู้สอนเด็กออทิสติก ช่วงอายุ 3-8 ปี จำนวน 57 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามที่ได้พัฒนาจากข้อมูลการสัมภาษณ์ และนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย (μ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 2) พัฒนารูปแบบการสอน โดยการสนทนาอิงผู้เชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักสหวิชาชีพ จำนวน 7 คนและประเมินคุณภาพก่อนการใช้รูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอนในกลุ่มตัวอย่างเด็กออทิสติก จ านวน 5 คน ที่ใช้แบบบันทึกปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ แบบช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล และนำเสนอด้วยกราฟ 4) การประเมินรูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 15 คน การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัญหา แนวทาง และความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรม ซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก คือ 1.1 สภาพปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติกมีภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพบปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ในกลุ่ม Lower-order repetitive behaviors (LRBs) มากกว่ากลุ่ม Higher-order repetitive behaviors (HRBs) 1.2 ปัญหาการสอนเด็กออทิสติกที่มีปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ อยู่ในระดับมาก พบว่า เด็กออทิสติกขาดสมาธิและความสนใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ รบกวนการเรียนของเพื่อน และครูผู้สอนเกิดความเครียดต่อปัญหาพฤติกรรมยึดติด ไม่ยืดหยุ่น ต่อการเปลี่ยนแปลงจนเกิดพฤติกรรมโวยวายก้าวร้าว
  • รายการ
    ผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เพื่อลดพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ธนัชพร แพงไตร; ศิริวิมล ใจงาม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ในการลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก และ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ก่อนและหลังสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเด็กออทิสติก จำนวน 3 คน อายุ 7 - 10 ปี กำลังศึกษาในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสิงห์บุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง โดยเลือกเด็กที่มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพไม่สามารถพูดสื่อสารได้ แต่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo จำนวน 5 แผน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมซ้ำ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. การสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ทำให้พฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกทั้ง 3 คน ลดลง ดังนี้ 1.1 เด็กออทิสติกคนที่ 1 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.58 1.2 เด็กออทิสติกคนที่ 2 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 45.92 1.3 เด็กออทิสติกคนที่ 3 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.90 2. หลังการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เด็กออทิสติกทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จินตนา ประดุจพงษ์เพ็ชร์; สลักจิต ตรีรณโอภาส
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ได้ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรม ความต้องการของผู้ปกครอง และรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติก กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติก 2) พัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ ที่มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติกจำนวน 6 คน เครื่องมือเป็นแบบทดสอบความรู้ด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก และแบบบันทึกการสะท้อนคิด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการอบรม และ 4) ประเมินรูปแบบฯ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกส่วนใหญ่เป็นการกระทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองมากที่สุด รองลงมา คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น และการกระทำให้เกิด ความเสียหายต่อสิ่งของตามลำดับและผู้ปกครองมีความต้องการให้ติดตามและรายงานผลการจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กออทิสติกร่วมกันอย่างต่อเนื่องของนักสหวิชาชีพมากที่สุด รองลงมา คือ การได้รับการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญในการจัดการปัญหาพฤติกรรมในสถานการณ์จริง และการพัฒนาความรู้และทักษะในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเป็นลำดับสุดท้ายและพบว่า รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในเขตภาคเหนือตอนล่างเป็นแบบตามใจมากที่สุดรองลงมา คือ แบบเอาใจใส่ และแบบควบคุมตามลำดับ 2. รูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ของการอบรม เนื้อหาการอบรม กิจกรรมการอบรม สื่อการอบรม การวัดและประเมินผล โดยมีกิจกรรมการอบรมตามกระบวนการจิตตปัญญา 4 ขั้นตอน คือ สงบนิ่ง (Calm) สนใจใคร่ครวญ (Contemplation) สร้างความคิด (Creativity) และสัญญาจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Commitment) (ส.ส.ส.ส.) รวมทั้งมีผลการประเมินคุณภาพก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ที่มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเหมาะสมได้ค่าต่ำที่สุด 3. ผลการใช้รูปแบบการอบรมสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเพิ่มขึ้น และสามารถลดสภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกหลังการใช้รูปแบบการอบรม 4. ผลการประเมินรูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ด้านประสิทธิผล ด้านประสิทธิภาพ และด้านผลกระทบ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน
  • รายการ
    การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กันต์กนิษฐ์ วงศ์ครุฑ; อนุชา ภูมิสิทธิพร
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบ สภาพ และแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถด้านการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ผู้บริหารสถานศึกษา ครูการศึกษาพิเศษ ครูที่รับผิดชอบงานวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองที่สังกัดในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏในเขตภาคเหนือจำนวนทั้งสิ้น 83 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาองค์ประกอบการบริหารงานวิชาการ พบว่า องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการมี 5 องค์ประกอบ คือ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา 2. ผลการศึกษาสภาพการบริหารงานด้านวิชาการ พบว่า ในภาพรวม และรายด้าน ซึ่งได้แก่ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา มีสภาพการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก 3. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการ พบว่า 1) ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง วางแผนงานการจัดการศึกษาภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม 2) ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ จัดทำโครงสร้างหลักสูตรที่ชัดเจน และให้ความสำคัญกับภาคีเครือข่าย 3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จัดทำแผน (IEP) และแผน (IIP) ส่งเสริมให้ครูจัดการสอนที่เหมาะสมสอดคล้อง 4) ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ควรให้ผู้ปกครอง ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม และควรขอรับการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวก และ 5) ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา ควรให้ความสำคัญกับการเชิดชูครู พัฒนาครูให้มีความรู้ในการทำวิจัย และควรจัดทำแผนการทำวิจัย
  • รายการ
    ผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) เด่นนที กองพล; สุวพัชร์ ช่างพินิจ
    การวิจัยครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษา และเปรียบเทียบผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนออทิสติกที่มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งในขณะจัดกิจกรรมในชั้นเรียน จำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ แผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง เบี้ยอรรถกร สื่อทางการมอง และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกพฤติกรรม การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบกลุ่มตัวอย่างเดี่ยว (Single Subject Design) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะก่อนใช้วิธีการจัดกระทำ ซึ่งผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมการอยู่ไม่นิ่งของนักเรียน ระยะที่ 2 จัดกระทำโดยจัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง ระยะที่ 3 สังเกตพฤติกรรมโดยไม่มีการจัดกระทำ และระยะที่ 4 จัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองอีกครั้งหนึ่งผลการวิจัยพบว่า หลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง กลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งอยู่ในระดับ ดี จำนวน 2 คน และอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 1 คน และเมื่อคิดเป็นร้อยละเปรียบเทียบกับระยะเส้นฐาน พบว่า พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนหลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองลดลงทั้ง 3 คน โดยกลุ่มเป้าหมายคนที่ 1 ลดลงร้อยละ 22.69 คนที่ 2 ลดลงร้อยละ 15.4 และคนที่ 3 ลดลงร้อยละ 30 ตามลำดับ