คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 2 of 2
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    สภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศุภนิตย์ มิ่งไม้; ศิริวิมล ใจงาม; พวงทอง ไสยวรรณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพปัญหาการนิเทศภายในใช้สถิติ (F-test) ส่วนการศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 12 คนเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษโดยตรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพปัญหาในการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต1 ปีการศึกษา 2551 ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาสภาพปัญหาแต่ละด้าน พบว่า ด้านการวัดผลและประเมินผลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านหลักสูตรและการใช้หลักสูตร ตามลำดับ 2.เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม ระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอนในภาพรวม พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนคู่อื่นๆ ไม่แตกต่างกัน 3.แนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม พบว่า ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่อไปนี้ คือ 1) ผู้ให้การนิเทศควรเอาใจใส่ในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 2) บุคคลที่ทำหน้าที่นิเทศควรมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ตนเองจะต้องนิเทศคือมีศักยภาพในการแนะนำ ปรึกษา ช่วยเหลือแก่ผู้รับการนิเทศอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและควรเป็นไปในลักษณะของกัลยาณมิตร 3) ผู้นิเทศควรมีแนวทางที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติและไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสับสน 4) หลังได้รับการนิเทศแล้วผู้ปฏิบัติควรนำข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำของผู้ให้การนิเทศมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้ดีขึ้นและผู้ให้การนิเทศควรติดตามการดำเนินงานหลังให้การนิเทศเพื่อให้ผู้รับการนิเทศกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน 5) ควรมีการบันทึกการนิเทศเป็นรายลักษณ์อักษรทุกครั้งที่มีการนิเทศ 6) ควรมีการประสานความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพราะการจัดการเรียนร่วมจะสำเร็จได้ต้องให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจัง
  • รายการ
    การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กันต์กนิษฐ์ วงศ์ครุฑ; อนุชา ภูมิสิทธิพร
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบ สภาพ และแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถด้านการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ผู้บริหารสถานศึกษา ครูการศึกษาพิเศษ ครูที่รับผิดชอบงานวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองที่สังกัดในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏในเขตภาคเหนือจำนวนทั้งสิ้น 83 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาองค์ประกอบการบริหารงานวิชาการ พบว่า องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการมี 5 องค์ประกอบ คือ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา 2. ผลการศึกษาสภาพการบริหารงานด้านวิชาการ พบว่า ในภาพรวม และรายด้าน ซึ่งได้แก่ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา มีสภาพการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก 3. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการ พบว่า 1) ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง วางแผนงานการจัดการศึกษาภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม 2) ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ จัดทำโครงสร้างหลักสูตรที่ชัดเจน และให้ความสำคัญกับภาคีเครือข่าย 3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จัดทำแผน (IEP) และแผน (IIP) ส่งเสริมให้ครูจัดการสอนที่เหมาะสมสอดคล้อง 4) ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ควรให้ผู้ปกครอง ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม และควรขอรับการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวก และ 5) ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา ควรให้ความสำคัญกับการเชิดชูครู พัฒนาครูให้มีความรู้ในการทำวิจัย และควรจัดทำแผนการทำวิจัย