คณะสังคมศาสตร์และการพัฒนาท้องถิ่น
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/163
ค้นหา
25 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กรณีศึกษา : ตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กฤษณะ เอี่ยมสะอาด; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สาคร สร้อยสังวาลย์ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบทชุมชน ปัญหาความต้องการ ใช้น้ำรวมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร และตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยจัดเวทีประชาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรณีศึกษาได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชหลัก 5ชนิด คือ ข้าว กล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด จำนวน 300 ครัวเรือน ในเขตพื้นตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตำบลหนองกลับเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุด ในอดีตให้ผลคุ้มค่า แต่ภายหลังเกิดโรค แมลง ศัตรูพืชระบาด เกษตรกรจึงหันมาปลุกกล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพดตามลำดับ ในด้านปัญหาเกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร เกษตรกรปลูกข้าวเป็นพืชหลัก อาศัยน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีแหล่งน้ำไหลผ่าน มีเพียงลำคลองสายสั้น ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ในฤดูฝนบางปีอาจมีน้ำท่วม ทำให้ใช้น้ำจากบ่อบาดาล คลอง หนอง และบึงธรรมชาติ โดยมีน้ำใช้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปี แต่ในช่วงฤดูฝน บางปีอาจถุกน้ำท่วมทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับความต้องการ และข้อเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว มีดังนี้คือ 1. ต้องการระบบชลประทาน โดยเฉพาะคลองส่งน้ำ ที่สามารถกระจายน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลุกทั่วถึง 2. ต้องการแหล่งน้ำตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการขุดสระกักเก็บน้ำที่จะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี 3. ต้องการขุดลอกคลอง หนอง และบึงธรรมชาติ ให้มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นความต้องการของเกษตรกร ที่ปลูกกล้วยไม้ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด 4. ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองจะก่อเกิดประโยชน์ในหลายประการ และทำให้การดำเนินงานด้านเกษตรกรรมของชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบมีเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมชาติแก่เกษตรกรผู้ใช้น้ำโดยส่วนร่วม ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสนใจ และมีมติเห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสอง ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุสุมา แก้วบุรี; นิคม นาคอ้าย; สงวน ช้างฉัตรการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพในการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองและนำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ การทดสอบค่า t-test ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ก้านทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมการขาย พบว่า ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองมีการดำเนินธุรกิจในภาพรวม มีสภาพการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง พบว่าการเปรียบเทียบสภาพดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามประสบการณ์ทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามระดับการศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 3. การนำเสนอแนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองเพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและช่วยแกไขปัญหาในตลาดที่มีคู่แข่งขันสูง ซึ่งตลาดหแบบเก่าจะมีการพัฒนา ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย/ทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมหารขาย แต่การตลาดสมัยใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาด4P’ ควบคู่การพัฒนาสินค้า การบริการการสร้างความพึงพอใจ การบริการหลังการขายและการสร้างทัศนคติที่ดีที่ลุกค้ามีให้ผู้ประกอบการ และมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์สินค้า ซึ่งแนวทางการพัฒนามีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ กรณีศึกษาสำนักงานทรัพยากรน้ำ ภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) จิระนันท์ เบียมม่วง; พัฒนพันธ์ เขตต์กันการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ และเพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการในตำแหน่งประเภทวิชาการ กรณีศึกษาสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 132 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการในตำแหน่งประเภทวิชาการโดยใช้สถิติ t-test และ F-test ผลการศึกษาพบว่า แรงจูงใจของบุคลากรต่อการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ อยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้านความก้าวหน้าในงาน ด้านการยอมรับทางสังคม ด้านการเพิ่มค่าตอบแทน ด้านการจ่ายเงินประจำตำแหน่ง สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจของบุคลากร พบว่าบุคลากรที่มีรายได้ต่างกัน มีผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ในด้านการยอมรับทางสังคม และด้านการจ่ายเงินประจำตำแหน่ง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่บุคลากรที่มีเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ตำแหน่งปัจจุบันต่างกัน ไม่มีผลต่อแรงจูงใจในการเข้ารับราชการตำแหน่งประเภทวิชาการ ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่พบคือ ด้านค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับประสบการณ์ อายุการทำงาน และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากร ดังนั้นควรมีการเพิ่มค่าตอบแทนให้เหมาะสมกับภาระหน้าที่และงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคระกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) นพดล เหล่ากอ; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิดคือ แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกทั้ง 3 กองทุน จำนวน 333 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ดำเนินการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 มาสังเคราะห์โดยอิงทฤษฎีการบริหารและหลักธรรมาภิบาล มาร่างเป็นกระบวนการบริหารจัดการกองทุน ประเมินคุณภาพกระบวนการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรฐานการประเมินที่พัฒนา STUFFLEBEAM และคณะ โดยการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เป็นการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนบ้านพักอาศัย 4 เขต แบ่งออกเป็น 3 กองทุน การจัดตั้งกองทุน การคัดเลือกกรรมการ และการมอบหมายหน้าที่ของกรรมการ เป็นการแต่งตั้งด้านการบริหารจัดการกองทุนปัญหาอยู่ในระดับมาก คือด้านหลักการมีส่วนร่วม และด้านที่มีระดับปัญหาน้อย คือด้านหลักนิติธรรม การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุน มีการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนหน่วยงานที่ใกล้เคียงกัน มีการประชุมจัดตั้งกองทุน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานมีการเลือกตั้งคณะกรรมการ และหมอบหมายหน้าที่ มีการประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงาน การพัฒนาคุณภาพของกระบวนการบริหารจัดการกองทุน พบว่า ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) นพคุณ ถาวรกูล; วงศกร เจียมเผ่าการวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา เพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา และใช้เป็นแนวทางในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดินในอนาคตเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้สุ่มตัวอย่างที่ได้จากการกำหนดขนาดด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และที่ระดับความคลาดเคลื่อน ±5% ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมคือ 223 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาโดยนำมาแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน โดยการหาค่าสถิติทดสอบ (t-test) และหาค่าสถิติทดสอบ (F-test) ผลการวิจัย พบว่า 1.ความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา ทั้งหมด 7 ด้าน อยู่ในระดับมาก สำหรับผลการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านศาสนา และรองลงมาคือ ด้านอาชีวะบำบัด ด้านกายภาพบำบัด ด้านนันทนาการ ด้านการแพทย์และอนามัย ด้านสังคมสงเคราะห์ และด้านฌาปนกิจ 2.เปรียบเทียบความคาดหวังของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน ต่อการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา พบว่า ปัจจัยด้านอาชีพ และลักษณะการอยู่อาศัย มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้าน เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ ไม่มีผลต่อความคาดหวังของผู้สูงอายุในการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชรา 3.แนวทางการจัดตั้งสถานสงเคราะห์คนชราขององค์การบริหารส่วนตำบลกำแพงดิน อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เมื่อมีการจัดตั้งสถานสงเคราะห์แล้ว กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวัง และความต้องการมากที่สุดให้มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกเช้าและก่อนนอน รวมทั้งควรจัดให้มีกิจกรรมทางศาสนา เช่น การฟังเทศน์ การนั่งสมาธิ ทุกวันพระรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรวุฒิ ด่วนเจริญศรี; พิทักษ์ อยู่มี; อนงค์นาฏ คงประชาการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรับรู้และแนวทางเรื่องสารปนเปื้อนที่ตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้า ที่ประกอบการจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านอาหาร ร้านแผงลอย ในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ ในช่วงเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมกราคม 2553 จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดย วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Analysis) สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (X̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่า: 1.การรับรู้สารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการ ได้แก่ กรรมการตลาดสดเทศบาลควรหมั่นตรวจตราการจัดวางสินค้าให้ปลอดภัย การจัดวางสินค้าให้ปลอดภัยจากพาหะของเชื้อโรค และมีอุปกรณ์ป้องกันสินค้า ไม่ให้เบื้องแต่และออง จัดให้ความรู้ในด้านกระบวนการเลือกเพ็มสินค้าที่นำมาจำหน่าย จัดให้ความรู้แก่ผู้จำหน่ายสินค้าในด้านการหมั่นสังเกตสินค้าที่ผลิตหรือจำหน่าย จัดให้ความรู้ในด้านการศึกษาถึงแหล่งผลิตสินค้าที่จำหน่ายได้มาตรฐาน จัดอบรมผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้สารปนเปื้อนในอาหารในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ สร้างความตระหนักให้ผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตอาหารได้สะอาดปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายควรตรวจสอบสินค้าที่จำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ จัดระบบและการจัดเก็บสินค้าให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน จัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารปนเปื้อนโดยภาคราชการ ภาคราชการให้ข้อมูลจากสารเกี่ยวกับสารปนเปื้อนอย่างสม่ำเสมอ มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหาร และควรมีการกำหนดโทษปรับสำหรับอาหารที่ปนเปื้อนเกินกว่ามาตรฐานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภิรมย์ สิทธิกมลรัตน์; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) สำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 2) พัฒนาคุณภาพ กลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 3) ทดลองใช้กลยุทธ์โดยการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของสมาชิกก่อนและหลังการใช้กลยุทธ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2549 กับช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2550 4) ประเมินกลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด หลังการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สมาชิกสหกรณ์รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่า t-test dependent ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กระบวนการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การสำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 231 คน 2) การกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา 3) ทดลองใช้กลยุทธ์กับสมาชิกสหกรณ์ที่สมัครใจ จำนวน 40 คน 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ ซึ่งพบว่าสภาพการมีส่วนร่วมนั้น ส่วนใหญ่สมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันมีความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ระดับน้อย ความคิดเห็นที่มีต่อสหกรณ์ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาได้แก่ เอกสารเผยแพร่ การให้การศึกษาฝึกอบรม กำหนดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่ม แบ่งกลุ่มคัดเลือกผู้นำ และการกระตุ้นเตือนเป็น เวลา 3 เดือน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์ความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์และความคิดเห็นที่มี่ต่อสหกรณ์ ในภาพรวมเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการซื้อสินค้าจากสหกรณ์อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพครูด้านทักษะการดำรงชีวิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศิริสุภา เอมหยวก; ลำยอง สำเร็จดี; เจนต์ คันทะรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของ ศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) มนัส มากบุญ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สุภาพ รมณีย์พิกุล; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณวิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุนต่อหน่วยบริการของศูนย์สุขภาพชุมชน อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยและพัฒนากลยุทธ์การบริหารต้นทุน ต่อหน่วยบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาต้นทุนต่อหน่วยบริการและเสนอกลยุทธ์การบริหารต้นทุนของศูนย์สุขภาพชุมชนอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ประชากรที่ศึกษา ได้แก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในศูนย์สุขภาพชุมชนทั้งหมดในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 41 คน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ต้นทุนต่อหน่วยบริการจำแนกตามรายกิจกรรม ต่อการให้บริการ 1 ครั้ง พบว่า กิจกรรมงานรักษาพยาบาล มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 74.18 บาท งานอนามัยแม่และเด็กมีต้นทุนต่อหน่วยเท่ากับ 297.21 งานวางแผนครอบครัว มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 169.44 บาท งาน สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มีต้นทุนต่อหน่วยเฉลี่ย เท่ากับ 220.06 งานเยี่ยมบ้าน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 19.26 บาทงานอนามัย โรงเรียน มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 472.27 บาท งานสุขาภิบาลและควบคุมโรค มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 782.62 บาท และงานทันตสาธารณสุข มีต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 726.69 บาท สัดส่วนของต้นทุนด้านค่าแรง ต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน เท่ากับ 299,348 : 205,148 : 155,419 หรือร้อยละ 45.36 : 31.09 : 23.55 การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยบริการเฉลี่ยจำแนกตามรายกิจกรรมของศูนย์สุขภาพชุมชนพบว่าทั้งศูนย์สุขภาพชุมชนขนาดใหญ่และขนาดเล็กมีต้นทุนต่อหน่วยบริการไม่แตกต่างกัน คือ มีต้นทุนค่าแรงมากที่สุด รองลงมาคือต้นทุนค่าวัสดุ และต้นทุนค่าลงทุน การพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ของศูนย์สุขภาพชุมชน พบว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ใช้การพัฒนากลยุทธ์ผู้นำในค่าใช้จ่าย โดยเสนอกลยุทธ์ ลดค่าแรงเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ 3 วิธี คือ 1.การลดการอยู่บรรนอกเวลาลงครึ่งหนึ่งของปัจจุบัน 2.เจ้าหน้าที่ในศูนย์สุขภาพชุมชนลูกข่ายไปขึ้นเวรนอกเวลาในศูนย์สุขภาพชุมชนแม่ข่าย 3.การงดการอยู่เวรนอกเวลาทั้งหมดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภูษิต ล้ำสมภพ; อำนวยพร สุนทรสมัย; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาทางจริยธรรมของนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 3 และนำเสนอแนวทางการพัฒนาจริยธรรมของนักเรียน ตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวแทนครูในอำเภอพรหมพิราม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 3 จำนวน 53 แห่ง ๆ ละ 2คน คือครูที่ปรึกษา 1 คน และครูแนะแนวหรือครูฝ่ายปกครอง 1 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือในการเก็บข้อมูลเป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานากลาง ดังนี้ การมีวินัย มีความรับผิดชอบและปฏิบัติตนตามหลักธรรมเบื้องต้นฯ ได้แก่ แต่งกายเรียบร้อยและถูกระเบียบและมีมารยาทในการรับประทานอาหาร ความซื่อสัตย์สุจริต ได้แก่ ปฏิบัติตามระเบียบการสอบและไม่ลอกการบ้านไม่ลักขโมยทรัพย์สิน ไม่พูดโกหกและกล้ายอมรับความจริง ความกตัญญูตกเวที ได้แก่ แสดงออกถึงความรักและเคารพพ่อแม่ เคารพและเชื่อฟังครูอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อแม่และครุอาจารย์ และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมชุมชนและครอบครัว ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ ได้แก่ รู้จักให้เพื่อส่วนรวมและผู้อื่น และแบ่งปันทรัพย์สินและสิ่งของให้แก่ผู้อื่น แสดงออกถึงการมีน้ำใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่นและเสียสละต่อผู้ด้อยโอกาส และไม่เอาเปรียบผู้อื่น ความประหยัด ได้แก่ รู้จักใช้ทรัพย์สินของของโรงเรียนอย่างประหยัดใช้อุปกรณ์การเรียนอย่างประหยัด เข้าร่วมกิจกรรมประหยัดของโรงเรียน รู้จักใช้น้ำ ไฟฟ้า และสาธารณูปโภคที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างประหยัด และรู้จักการออมเงิน และใช้เงินอย่างประหยัด ภูมิใจในความเป็นไทยและดำรงไว้ซึ่งความเป็นไทย ได้แก่ แสดงออกถึงความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ชอบเรียนรู้และสนใจในภูมิปัญญาไทยของท้องถิ่นของตน เรียนรู้และสนใจในศิลปวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่นของตนสามารถเผยแพร่ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ และแสดงออกถึงความรักและความหวงแหนในศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาไทย
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »