คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/140
ค้นหา
2 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ทิศทางการพัฒนากําลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) จุมพฏ พงศ์ศักดิ์ศรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการผลิตกำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือ 2) ศึกษาสมรรถนะของกำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือ 3) นำเสนอทิศทางการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือ 4) นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือโดยผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพการผลิตกำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือมีสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดหลักสูตร อยู่ 2 ประเภท ได้แก่ หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต และหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต มีหน่วยกิตรวมระหว่าง 136-138 หน่วยกิต และอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือมีแนวโน้มไม่เพิ่มกำลังคนตามสภาวะเศรษฐกิจ 2. สมรรถนะของกำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ผู้ประกอบการคาดหวัง สมรรถนะที่มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าความคาดหวังมากที่สุด คือสมรรถนะด้านความชำนาญ ประสบการณ์ ทำงานได้จริง และสมรรถนะด้านกระบวนการผลิต 3. ทิศทางการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือสรุปได้ 2 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ ทิศทางด้านการพัฒนาศักยภาพของกำลังคน และทิศทางด้านการพัฒนาการบริหารจัดการของกำลังคน 4. ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซรามิกภาคเหนือมี 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1) การผลิตกำลังคนให้เกิดทักษะใหม่ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสร้างและใช้เทคโนโลยี และพัฒนาความรู้วิทยาศาสตร์ วัสดุศาสตร์ ตลอดจนการสร้างนวัตกรรม 2) การพัฒนากำลังคนโดยยกระดับสมรรถนะกำลังคน พัฒนาและสร้างผู้ประกอบการใหม่ 3) พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อสร้างต้นแบบการบริหารจัดการ4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยสร้างทักษะความคิดสร้างสรรค์เซรามิกให้มีอัตลักษณ์เฉพาะรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตด้านโลจิสติกส์ด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กรณีศึกษา บริษัท พี อี เทคนิค จำกัด จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ธณิดา โขนงนุช; อลงกรณ์ เมืองไหว; ธัชชัย เทพกรณ์งานวิจัยนี้ได้เสนอการลดต้นทุนการผลิตด้านโลจิสติกส์ด้านการผลิต ซึ่งจะพิจารณาการจัดตารางการผลิตโดยคำนึงถึงข้อจำกัดของทรัพยากร (Finite Capacity Scheduling System: FCS System) สำหรับการทำงานประกอบที่เป็นระบบการผลิตแบบต่อเนื่องกันและมีกำหนดส่งวันเดียวกัน ซึ่งการจัดตารางการผลิตนี้จะประกอบไปด้วย 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ 1) การจัดลำดับของ Jobs จะพิจารณาจากลำดับชั้นของการจัดลำดับงาน (Hierarchical Dispatching Rule) 2) ใช้การโปรแกรมเชิงเส้น (linear Programming) เพื่อพิจารณาเวลาเริ่มผลิตที่เหมาะสมที่สุด ที่ทำให้ต้นทุนรวมน้อยที่สุด โดยต้นทุนรวมประกอบด้วยต้นทุนการส่งสินค้าช้ากว่ากำหนด ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้า และต้นทุนการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ซึ่งจากการใช้ข้อมูลของบริษัทกรณีศึกษา พบว่าการจัดลำดับของ Jobs โดยพิจารณาจากลำดับชั้นของการจัดลำดับงาน และการใช้การโปรแกรมเชิงเส้นพิจารณาเวลาเริ่มผลิตที่เหมาะสมที่สุดนั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจัดตารางการผลิต นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ใช้วิธีการค้นหาเฉพาะที่ (local Search Methodology) มาทดสอบประสิทธิภาพของการจัดลำดับการผลิตว่าจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งพบว่าไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของการจัดลำดับการผลิตได้ การจัดลำดับที่ดีที่สุดยังคงเป็นการใช้ EDD rule, การจัด Family Sequencing แบบ Level 3-2-1 และ Time Sequencing แบบ LPT Rule