คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/170

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 14
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา”
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ทิพย์สุดา นัยทรัพย์
    การวิจัยชุดนี้จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา” และหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน 3 ด้านคือ 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนของนักศึกษา และ3)เจตคติของนักศึกษาต่อบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้ บทเรียนสำเร็จรูป และแบบสอบถามวัดเจตคติ ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดในภาพรวมเท่ากับ 87.45/77.27 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดคือ 75/75 ยกเว้น ชุดที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย ส่วนใหญ่ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป นักศึกษามีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 ด้านเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทั้ง 5 ชุด พบว่า นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหาทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผลและเปิดโอกาสให้นักศึกษารู้หลักธรรมควบคู่กับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
  • รายการ
    กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทอง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมาก
  • รายการ
    การเปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทย โดยใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุลณีย์ บุญมี; วาสินี มีเครือเอี่ยม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน2) เปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทยของผู้เรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันและ 3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน ผลการวิจัยพบว่า 1)คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.30/92.67 และคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.10/90.93 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลการสื่อสารของกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลการสื่อสารของนักเรียนที่เรียนด้วยคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและอักษรโรมัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 4.40 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 และ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.35 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60โดยผลการจัดการเรียนการสอนและการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการทั้ง 2 วิธี อยู่ในระดับมากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการละคร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) ปรีศนา เอี่ยมสะอาด; สกล เกิดผล
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารก่อนและหลังการเรียนโดยใช้กิจกรรมการละครและศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มภาษา-สังคม เน้นภาษาอังกฤษ โรงเรียนทุ่งเสลี่ยมชมูปถัมภ์ อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลากเลือกห้องเรียน 1 ห้องเรียน มีนักเรียน 26 คน ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 7 สัปดาห์ จำนวน 21 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1)แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการละคร 2)แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร จำนวน 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (ภาคทฤษฎี) ฉบับที่ 2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (ภาคปฏิบัติ) 3)แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละครการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (X) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1.ความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักเรียนหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการละครสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2.ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2 โดยใช้กิจกรรมการละครอยู่ในระดับมากที่สุด
  • รายการ
    การศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ปิยนุช อินทร์ธนู; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป และวิเคราะห์ประเภทวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป จำนวน 32 เรื่อง โดยใช้กรอบแนวคิดคุณธรรม 8 ประการของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเกณฑ์ ได้แก่ 1) ขยัน 2) ประหยัด 3) ซื่อสัตย์ 4) มีวินัย 5) สุภาพ 6) สะอาด 7) สามัคคี 8) มีน้ำใจ และกรอบการวิเคราะห์วัจนกรรมการสอนคุณธรรมที่นำมาจากแนวคิดของ John R. Searle 5 ประเภท คือ 1) วัจนกรรมการกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว 2) วัจนกรรมการกล่าวสั่ง 3) วัจนกรรมการกล่าวผูกพัน 4) วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก 5) วัจนกรรมการกล่าวประกาศหรือแถลงการณ์ ผลการศึกษาคุณธรรม 8 ประการ พบคุณธรรมครบทุกด้านโดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ คุณธรรมด้านมีน้ำใจ พบความถี่ 18 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 56.25 คุณธรรมด้านความสุภาพและความสามัคคี พบความถี่ 8 เรื่องเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 25 คุณธรรมด้านมีวินัย พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 คุณธรรมด้านความสะอาด พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 คุณธรรมด้านความขยันและคุณธรรมด้านความประหยัด พบความถี่เท่ากัน 2 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 6.25 และคุณธรรมความซื่อสัตย์พบความถี่ 1 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.12 ตามลำดับ ผลการศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม พบวัจนกรรม 4 ประเภท โดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ วัจนกรรมกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว พบความถี่ 21 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 65.63 วัจนกรรมกล่าวสั่ง พบความถี่ 13 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40.63 วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และวัจนกรรมการกล่าวผูกพัน พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 ตามลำดับ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาดนตรี : เฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สธน โรจนตระกูล
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และเพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง โดยจำแนกตามวุฒิทางการศึกษา ประสบการณ์ในการสอน และขนาดของโปรแกรมวิชา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผ็สอนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2549 ซึ่งได้มาโดยการเจาะจงจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 42 คน เก็บข้อมูลได้ 38 ฉบับ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบประเมินสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ แบ่งเป็น 4 ด้านคือ ความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการสอน การจัดกิจกรรมการสอน การสนับสนุนและสร้างแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดลองค่า F- test ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. สมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนจำแนกตามรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน 3. การเปรียบเทียบสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนโดยรวมทุกด้านเมื่อเปรียบเทียบกันตามวุฒิทางการศึกษา และประสบการณ์การสอนไม่แตกต่างกันส่วนขนาดของโปรแกรมวิชาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ เช่น 0.05
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ความสามารถในการแปลความหมายระดับข้อความของ Google Translate ระบบ Neural Machine Translation เพื่อนําไปใช้พัฒนาชุดภาษาในการสอนรายวิชาการแปลภาษาญี่ปุ่น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ณัฏฐิรา ทับทิม
    จากการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด การพัฒนาข้อมูลประดิษฐ์นํามาสู่เครื่องมือช่วยแปล (Machine Translation) ซึ่งสามารถช่วยแปลภาษาเพื่อการสื่อสารได้ดีมากขึ้น ในอีกทางหนึ่ง ความก้าวหน้าของเครื่องมือช่วยแปลเช่น Google Translate ระบบ Neural Machine Translation ก็สร้างความกังวลให้กับผู้เรียนภาษาถึงความจําเป็นในการเรียนภาษาของมนุษย์ และความกังวลถึงอาชีพทางด้านภาษาในอนาคต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือศึกษาความสามารถในการแปลความหมายระดับข้อความของแอพพลิเคชั่น Google Translateระบบ Neural Machine Translation และพัฒนาชุดภาษาความหมายระดับข้อความซึ่ง Google Translateระบบ Neural Machine Translation ยังไม่สามารถแปลได้ดีเทียบเท่ามนุษย์ ชุดภาษาความหมายระดับข้อความประกอบไปด้วยคําประสมคํานามและคําประสมคํากริยาจํานวน 136 คํา คําปรากฏร่วมประเภท คํานาม+คํากริยา จํานวน 100 คํา สํานวนที่มีคํานามอวัยวะเป็นส่วนประกอบจํานวน 100 สํานวน และประโยคที่ประกอบจากรูปไวยากรณีระดับ N4 จํานวน 100 ประโยค รวมทั้งหมด 436 ชุดภาษา โดยแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทย สํารวจ ระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2561 และตรวจสอบความสามารถการแปลโดยผู้เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยจํานวน 3 คน ผลการวิจัยพบว่า Google Translateระบบ Neural Machine Translation แปลความหมายจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยอยู่ในระดับไม่เป็นที่ยอมรับคิดเป็นร้อยละ 73.62 และแปลความหมายจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยอยู่ในระดับเป็นที่ยอมรับคิดเป็นร้อยละ 26.38 โดยชุดภาษาที่ Google Translate ระบบ Neural Machine Translation สามารถแปลได้ในระดับยอมรับได้มากที่สุดเรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ คําปรากฏร่วม คําประสมคํานาม คําประสมคํากริยา ประโยค และสํานวน ตามลําดับ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการ
    ผลการจัดการเรียนการสอน แบบActive Learning ในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่องานโรงแรม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ณัฐกานต์ เส็งชื่น; อารยา บุญศักดิ์; สุรีย์รัตน์ บัวชื่น; วณิชญา ฉิมนาค
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาผลสัมฤทธิ์จากการเรียนด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning และ เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้แบบ Active Learning กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ENG 173 ภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม 2 ภาคการศึกษา 2/2559 ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 45 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการทดลอง คือ กิจกรรมการเรียนการสอนตามแบบการเรียนรู้ แบบ Active Learning แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ Active Learning วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักศึกษา สูงกว่าก่อนเรียน และ นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) โดยรวมอยู่ระดับมาก มี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.42