วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/132
ค้นหา
12 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วันชัย พฤกษะวัน; สุรชัย ขวัญเมือง; วีรพงษ์ อินร์ทอง; อดุล วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ใน 7 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานและความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 206 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามลักษณะเป็นเลือกตอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีความเห็นโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปน้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณความพร้อมด้านการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต และความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามลำดับ ส่วนครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปย้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการบริหารงานทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในและความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ตามลำดับรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ปัญหาและแนวทางตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเอง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ธีรวัฒน์ ถาวรโชติ; นิคม นาคอ้ายการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นแยกแต่ละอำเภอ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานแบบโรงเรียนเป็นฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา 4 มาตรฐาน ได้แก่ 1) มาตรฐานอิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ 2) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล 3) มาตรฐานมีอิสระในการบริหารจัดการการเงิน และ 4) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จำนวน 47 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1.ปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า มีปัญหา อยู่ในระดับน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานรายมาตรฐาน ทั้ง 4 มาตรฐาน ก็พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 2.1 แนวทางในมาตรฐานที่ 1 อิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล รายชั้นเรียน และโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ และกำหนดโครงการกิจกรรม/กิจกรรมการพัฒนา กำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการดำเนินงาน มีการนิเทศติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิ์และผลการพัฒนา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ และสรุปและรายงานผล เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา 2.2 แนวทางในมาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล โรงเรียนควรมีการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงเรียน โดยคำนึงถึงความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดส่งบุคลากรเข้ารับการพัฒนาความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการและงานที่รับผิดชอบ จัดให้ผู้สอนสอนให้ตรงกับวิชาเอก และกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน สรุปประเมินและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และรายงานผลการดำเนินงาน 2.3 แนวทางในมาตรฐานที่ 3 มีอิสระในการบริหารจัดการเงิน แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรายงานผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ และรายงานต่อสาธารณชน 2.4 แนวทางในมาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จัดระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของเขตพื้นที่ สามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานศึกษาอื่นๆ มีการประสานและสัมพันธ์ชุมชนโดยการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร การบริการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่สาธารณชน และให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสรุปและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการประสานงานต่อไปรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัย ในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) เดือนเพ็ญ ไชยพรพัฒนา; ณิรดา เวชญาลักษณ์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน 2) ด้านการจัดการเรียนการสอน และ 3) ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 31 คน และครู จำนวน 201 คน รวม 232 คน โดยเลือกผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหมดและการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยกำหนดสัดส่วนตามสถานศึกษาของครู สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ในแต่ละสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา สำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สลักจิต ตรีรณโอภาส; ศิริวิมล ใจงาม; เดือนใจ เกียวซีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม โดยมีการศึกษาสภาพการดำเนินงานการจัดการเรียนร่วม สร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบ ทั้งนี้ได้กำหนดแบบแผนการวิจัยเป็นการทดลองหนึ่งกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านป่าลัก (ทศพลอนุสรณ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 22 คน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่สร้างมีลักษณะสำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสร้างความตระหนักรู้ ขั้นน้อมใจสู่การพัฒนา ขั้นมุ่งหน้าลงมือปฏิบัติ และขั้นเกิดผลเชิงจิตตปัญญา หลังการใช้รูปแบบ ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการใช้ประโยชน์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 และด้านความแม่นยำค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 2. การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการสะท้อนคิดของครูจากการอบรมเพื่อพัฒนาตามขั้นตอนของรูปแบบ ครูชอบการทำสมาธิเพราะทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ความสงบและเรียนทำให้มีเวลาในการทบทวนตัวเอง การสื่อสารวงสนทนาทำให้ได้ฟังและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ประทับใจวิทยากรทุกท่านเพราะมีความเป็นกันเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูรักและผูกพันกันมากขึ้น กิจกรรมทุกโมดูลทำให้เกิดความเชื่อมั่นในอาชีพครูเพิ่มขึ้น และเห็นความสำคัญของรูปแบบที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน 2) การนิเทศติดตามระหว่างการใช้รูปแบบพบว่า หลักการสอนตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่ครูนำมาใช้มากที่สุดคือหลักความรักความเมตตา รองลงมาคือหลักการพิจารณาอย่างใคร่คราญ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมาใช้มากที่สุดคือการสร้างความสงบนิ่งด้วยสมาธิ รองลงมาคือสุนทรียสนทนา 3) การสะท้อนคิดของผู้บริหารและครูหลังใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพิ่มขึ้น พึงพอใจในรูปแบบเพราะช่วยให้เข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น สร้างความรักและสามัคคีในทีม โดยระบุว่าในเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสิทธิผล 4) การเปรียบเทียบศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาพบว่า ครูมีศักยภาพหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05)รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต1 และเขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) พรชนก ต่ายหัวดง; เอื้อมพร หลินเจริญ; จุมพต ขำสีระการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการ ของ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายองค์ประกอบโดยสกัดองค์ประกอบหลักและแกนหมุนแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกช์ ผลการวิจัยพบว่าสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานกลุ่มวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการบริหารข้อมูลและสารสนเทศ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานวัดผลประเมินผลการเรียน การประเมินผลงานทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาองค์กร การนิเทศภายใน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารการเรียนการสอน การบริหารกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนางานวิชาการและการบริหารทรัพยากรทางวิชาการตามลำดับ โดยที่ทั้ง 11 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายควาแปรปรวนของสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการได้ร้อยละ 71.642รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุธรรม ลังการ์พินธุ์; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต2 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารทั่วไป ครูที่ปฏิบัติหน้าที่งานธุรการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 337 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)และสถิติการทดสอบค่าเอฟ( F –test ) ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบสภาพและปัญหาในการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพและปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด สภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศุภนิตย์ มิ่งไม้; ศิริวิมล ใจงาม; พวงทอง ไสยวรรณ์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการเปรียบเทียบความคิดเห็นสภาพปัญหาการนิเทศภายในใช้สถิติ (F-test) ส่วนการศึกษาแนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอน จำนวน 12 คนเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษโดยตรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพปัญหาในการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วมตามความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต1 ปีการศึกษา 2551 ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาสภาพปัญหาแต่ละด้าน พบว่า ด้านการวัดผลและประเมินผลมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านหลักสูตรและการใช้หลักสูตร ตามลำดับ 2.เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม ระหว่างผู้บริหาร ครูการศึกษาพิเศษ และครูผู้สอนในภาพรวม พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนคู่อื่นๆ ไม่แตกต่างกัน 3.แนวทางการนิเทศภายในสำหรับโรงเรียนจัดการเรียนร่วม พบว่า ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่อไปนี้ คือ 1) ผู้ให้การนิเทศควรเอาใจใส่ในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 2) บุคคลที่ทำหน้าที่นิเทศควรมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ตนเองจะต้องนิเทศคือมีศักยภาพในการแนะนำ ปรึกษา ช่วยเหลือแก่ผู้รับการนิเทศอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและควรเป็นไปในลักษณะของกัลยาณมิตร 3) ผู้นิเทศควรมีแนวทางที่ชัดเจนให้กับผู้ปฏิบัติและไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสับสน 4) หลังได้รับการนิเทศแล้วผู้ปฏิบัติควรนำข้อคิดเห็นหรือข้อแนะนำของผู้ให้การนิเทศมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้ดีขึ้นและผู้ให้การนิเทศควรติดตามการดำเนินงานหลังให้การนิเทศเพื่อให้ผู้รับการนิเทศกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน 5) ควรมีการบันทึกการนิเทศเป็นรายลักษณ์อักษรทุกครั้งที่มีการนิเทศ 6) ควรมีการประสานความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพราะการจัดการเรียนร่วมจะสำเร็จได้ต้องให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจังรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สมบัติ ตาเกลี้ยง; สมหมาย อ่ำดอนกลอย; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มี 2 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร จำนวน 294 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน 2.การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มีดังนี้ 2.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมและมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม และให้ความเห็นชอบมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทบทวนมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อสร้างความตระหนัก และระดมสมองในการกำหนดกลยุทธ์ตัวชี้วัดความสำเร็จ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.3 ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ควรเน้นการมีส่วนร่วมให้ครอบคลุมกระบวนการ 2.4 ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และควรส่งเสริมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเสนอโครงการ อนุมัติโครงการ 2.5 ด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถานศึกษา มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาต่อชุมชน 2.6 ด้านการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาปฐมวัย 2.7 ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจ มีการนำเสนอแนวทางการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้รับทราบ เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ มีการชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคณะกรรมการสถานศึกษาปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน 2.8 ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ควรมีการพัฒนาตนเองของครู มีการประชุมตั้งคณะกรรมการจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันวางแผนการตรวจสอบทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการนำผลการประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาให้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำการเรียนร่วมดีเด่นภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) อารีย์ เพลินชัยวาณิช; ศิริวิมล ใจงาม; อดุลย์ วังศรีคูณในการวิจัยครั้งนี้จุกมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัจจัยในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 ศึกษาสภาพความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่น และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำการเรียนร่วมดีเด่น โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหาร ครูและผู้ปกครอง ในโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 จำนวน 19 โรงเรียน รวม 373 คนโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจับพบว่า สภาพปัจจัยในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นของภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2548 ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านพฤติกรรมหรือคุณลักษณะที่ดีและจำเป็นของผู้บริหาร ด้านคุณลักษณะที่จำเป็นของครู ด้านการจัดหรือใช้สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษา และด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โครงสร้างซีท(SEAT) ทั้งในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก สภาพความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนดีเด่นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อแยกเป็นรายด้าน คือ ด้านความพึงพอใจที่มีต่อสภาพการจัดการเรียนร่วมและความก้าวหน้าของเด็กที่มีความต้องการพิเศษอยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารในโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นในภาพรวมคือ ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยใช้โครงสร้างซีท(SEAT) และด้านคุณลักษณะที่จำเป็นของครู(TEACHER) ได้สมการถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง ดังนี้ ถ้า ŷ และ Zหมายถึง ความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วมดีเด่นในภาพรวม ที่ได้จากการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ และรูปคะแนนมาตรฐาน ตามลำดับ จะได้สมการคือ ŷ = 0.87+0.45 SEAT+0.33 TEACHER Z = 0.51Z SEAT + 0.35 Z TEACHERรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2546) วุฒิพงศ์ ภูมิประพัทธ์; วราพร พงศ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; ภาณุวัฒน์ กักติวงศ์การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนในด้านการบริหารงานโรงเรียนด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้และด้านความสัมพันธ์กับชุมชน และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการจัดการศึกษาการจัดการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับและแบบสอบถามชนิดปลายเปิดดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการให้ตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยด้านการบริหารโรงเรียน ด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านความสัมพันธ์กับชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ส่วนด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้ และประสิทธิภาพการจัดการศึกษา เมื่อจำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นสอดคล้องกัน