วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/132
ค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) เกศรา เจริญกุล; วิราพร พงษ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; เกษม บุญโญการศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามในด้านความพร้อมของปัจจัยเบื้องต้นที่สนับสนุนการจัดการศึกษา ความเหมาะสมของกระบวนการ และผลผลิตของการจัดการศึกษากลุ่มตัวอย่างใช้ในการประเมินได้แก่ มหาบัณฑิต นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ผู้สอนหรือคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิต จำนวน 113 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลสถิติใช้สถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินการจัดการศึกษาด้านความพร้อมของปัจจัยที่สนับสนุนการศึกษาทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านส่วนใหญ่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากยกเว้นในเรื่อง การใช้สื่อและอุปกรณ์การสอนและการมีเวลาให้คำปรึกษาแก่นักศึกษานอกชั้นเรียนอยู่ในระดับปานกลาง การประเมินกระบวนการในการจัดการศึกษา ในภาพรวมและเป็นรายด้านมีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ยกเว้นเรื่อง การจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิต ทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิต และนักศึกษาเกี่ยวกับความพร้อมด้านปัจจัย พบว่าส่วนใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติส่วนด้านบุคลากรในสำนักงานวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ ไม่แตกต่างกัน 4. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิตและนักศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมด้านกระบวนการทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน 5.ผลการเรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิตความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานของมหาบัณฑิตทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านแตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาความรู้ด้านการตลาด ของกลุ่มอาชีพทอผ้า บ้านม่วงหอม หมู่ที่ 5 ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) ละออ ทรงกฤษณ์; สมคิด ศรีสิงห์; อำนวยพร สุนทรสมัย; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กุสิมา เกล็บจุ; เอื้อบุญ ที่พึ่ง; นิวัตร พัฒนะการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และ (3) หาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 24 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ K-W-D-L ในการแก้โจทย์ปัญหารายวิชาคณิตศาสตร์เชื่อม ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.19/85.25 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดการสอน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.34รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ประทีป ยอดเกตุ; วีราพร พงศ์อาจารย์; จิตภัทร์ อุปราวิทยานันท์วิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นการวิจัยและพัฒนามีจุดมุ่งหมาย (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 (2) ศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และ (3) เปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม ตอนที่ 2 ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 ครั้ง 1 ชุด 10 หน่วยย่อย ใช้เวลา 40 ชั่วโมง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดบ้านดง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 23 คน เครื่องมือในการวิจัยได้แก่แบบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน ด้วยการทดสอบค่า t – test โดยใช้สูตร Paired Samples t – test ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับดี และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.04/81.33 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะ วิชาทัศนศิลป์ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ปอลิน หยุ่นตระกูล; ปัณณธร ชัชวรัตน์; เอื้อมพร หลินเจริญการพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์และหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ E1/E2 เท่ากับ 70/70 กล่าวคือ E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบฝึกหัดและการประกอบกิจกรรม E2 คือ ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (พฤติกรรมที่เปลี่ยนในตัวผู้เรียนหลังเรียน) คิดเป็นร้อยละและคะแนนการทดสอบหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ และเพื่อศึกษาพฤติกรรมด้านความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 40 ข้อ และแบบประเมินพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม ถึง 18 กันยายน 2550 ได้ดำเนินการทดลองทั้งหมด 10 ชุด ชุดละ 1 ชั่วโมง รวม 10 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า: 1.ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาพรวมมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 70.26/70.70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 70/70 ตามที่กำหนดไว้ 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะ หลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ สูงขึ้น 3.ระดับพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี สังกัดสำนักงานขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กมล สุมาลา; เตือนใจ เกียวซี; วิราพร พงศ์อาจารย์วิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษา ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต2 เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(participation Action Research : PAR) เพื่อสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือการศึกษาบริบท การพัฒนาระบบ การทดลองใช้ระบบและการประเมินระบบการบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบ แบบประเมิน แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สังเกต สัมภาษณ์ จัดสนทนากลุ่มและสอบถามความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์ทางสถิติ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1. ด้านสภาพและปัญหาในการบริหารจัดการ พบว่า โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคีมีสภาพปัญหาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ ความสามารถด้านการวิเคราะห์ การอ่าน การเขียนอยู่ในระดับต่ำ ขาดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่กล้าแสดงออก ก้าวร้าว ครูขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และการทำวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 2. โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคีได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการ โดยนำหลักการบริหารคุณภาพของเดมมิ่ง อันประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักที่สำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุงการดำเนินงานมาใช้ในการดำเนินงาน 3. ระบบบริหารจัดการคุณภาพการศึกษา ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ทำให้โรงเรียนมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ช่วยให้ดำเนินงานประสบความสำเร็จ บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ได้รับความรู้ที่จำเป็นต่อวิชาชีพครู มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานนักเรียนได้รับส่งเสริมการพัฒนาและแก้ปัญหา ทั้ง 5 ด้านคือ ด้านการเรียน ด้านร่างกาย ด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม ด้านเศรษฐกิจและด้านการคุ้มครองเป็นผลให้นักเรียนมีความสุขในการเรียนกล้าแสดงความคิดเห็น กระตือรือร้น และได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งโรงเรียนรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา สำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สลักจิต ตรีรณโอภาส; ศิริวิมล ใจงาม; เดือนใจ เกียวซีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม โดยมีการศึกษาสภาพการดำเนินงานการจัดการเรียนร่วม สร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบ ทั้งนี้ได้กำหนดแบบแผนการวิจัยเป็นการทดลองหนึ่งกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านป่าลัก (ทศพลอนุสรณ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 22 คน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่สร้างมีลักษณะสำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสร้างความตระหนักรู้ ขั้นน้อมใจสู่การพัฒนา ขั้นมุ่งหน้าลงมือปฏิบัติ และขั้นเกิดผลเชิงจิตตปัญญา หลังการใช้รูปแบบ ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการใช้ประโยชน์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 และด้านความแม่นยำค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 2. การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการสะท้อนคิดของครูจากการอบรมเพื่อพัฒนาตามขั้นตอนของรูปแบบ ครูชอบการทำสมาธิเพราะทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ความสงบและเรียนทำให้มีเวลาในการทบทวนตัวเอง การสื่อสารวงสนทนาทำให้ได้ฟังและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ประทับใจวิทยากรทุกท่านเพราะมีความเป็นกันเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูรักและผูกพันกันมากขึ้น กิจกรรมทุกโมดูลทำให้เกิดความเชื่อมั่นในอาชีพครูเพิ่มขึ้น และเห็นความสำคัญของรูปแบบที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน 2) การนิเทศติดตามระหว่างการใช้รูปแบบพบว่า หลักการสอนตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่ครูนำมาใช้มากที่สุดคือหลักความรักความเมตตา รองลงมาคือหลักการพิจารณาอย่างใคร่คราญ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมาใช้มากที่สุดคือการสร้างความสงบนิ่งด้วยสมาธิ รองลงมาคือสุนทรียสนทนา 3) การสะท้อนคิดของผู้บริหารและครูหลังใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพิ่มขึ้น พึงพอใจในรูปแบบเพราะช่วยให้เข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น สร้างความรักและสามัคคีในทีม โดยระบุว่าในเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสิทธิผล 4) การเปรียบเทียบศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาพบว่า ครูมีศักยภาพหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05)รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถ ในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ยุคลธร สังข์สอน; อารีย์ ปริติกุล; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่หมายเพื่ออพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดบการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาดำเนินการ4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากการสัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียนโรงเรียนมาตรฐานสากลที่มีผลการปฏิบัติที่ด์จำนวน 3 โรงเรียน สัมภาษณ์ศึกษามีเทศก์และครูที่มีผลงานดีเด่น์ จำนวน 6 คน และรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร 2) สร้างและหาคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน และทดลองนำร่องกับนักเรียน์จำนวน 39 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โรงเรียนอนุบาลบางมูลนาก "ราษฎร์อุทิศ"์ จำนวน 38 คน และ4) ศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามแนวทางของโรงเรียนมาตรฐานสากล นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และแนวทางการจัดการเรียนรู้ เพื่อการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และการจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการจุดประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 3) ขั้นค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล 4) ขั้นสร้างความรู้ใหม่ 5) ขั้นนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และสะท้อนความคิดในทุกขั้นตอน การวัดและประเมินผลใช้การประเมินตามสภาพจริงที่กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการทดลองนำร่อง พบว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบเป็นขั้นตอน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 2.29 และ4) ครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2553) บุญรักษา มั่งเกตุ; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกโดยเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนคำภาษาไทย ของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเสริมทักษะโดยใช้แบบฝึกสอนเสริมทักษะ ก่อนสอนเสริมทักษะกับหลังสอนเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจ่าการบุญ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 ที่มีผลการสอบจุดประสงค์ด้านการเขียนสะกดคำภาษาไทย ที่สะกดคำด้วยแม่กก แม่กด แม่กน แม่กบ ไม่เผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย คู่มือการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำภาษาไทย จำนวน 9 แบบฝึกกับกลุ่มตัวอย่าง เป็นเวลา 20 ชั่วโมง แล้วทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 แบบฝึก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.34/94.44, 97.68/91.33, 96.00/88.89, 97.33/91.11, 92.19/86.00, 94.05/91.78, 94.84/91.56, 94.71/96.00, และ 95.00/95.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ทักษะในการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังสอนเสริมสูงกว่าก่อนสอนเสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยและพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการโรงเรียนบ้านวังดินสอ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) มรรค กันมา; วีราพร พงศ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัยการวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ ทดลองใช้และประเมินผลการใช้ระบบของโรงเรียนบ้านวังดินสอ ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 วิธีดำเนินการวิจัย โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(PAR) และกระบวนการวงจรคุณภาพ PDCA ซึ่งมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ การนำระบบไปใช้การประเมินผล การนำผลการประเมินไปปรับปรุงแก้ไข ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนมีปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำคุณลักษณะของนักเรียนยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ครูมีภาระการสอนมากและขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักสูตรการศึกษา พฤติกรรมการสอนไม่เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้ส่วนใหญ่สอนไม่ตรงตามสาขาวิชาที่เรียนมาและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียนน้อย การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของครุไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้ของการพัฒนาครู การพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ ทำฝห้ได้ระบบการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการที่ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการ PDCA และการมีส่วนร่วม(PAR) ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผลการทดลองใช้ระบบ ครูสามารถจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญได้ดี เข้าใจวิธีการจัดทำหลักสูตรแบบบูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ ครูมีความกระตือรือร้นและเกิดความมั่นใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น มีความรู้สึกที่ต่อการบริหารการศึกษาเป็นวิธีกระตุ้นให้ครูพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีผลการเรียนและพฤติกรรมดีขึ้น แสดงว่าระบบดังกล่าวมีความสัมฤทธิ์ผลและบรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์องค์ประกอบประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ภาสินี ปัญญาประชุม; ชนมัชกรณ์ วรอินทร์; ชุมพล เสมาชันธ์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 และ 2) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ ได้แก่ ครูภาษาอังกฤษระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก จำนวน 440 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามวัดตัวแปรมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 146 ข้อ แบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองด้วยโปรแกรม LISREL 8.53 ผลการวิจัยพบว่า 1)ผลการศึกษาประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับประถมศึกษาปีที่ 4-6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก ด้านคุณภาพการสอนของครู ด้านลักษณะความเป็นครูภาษาอังกฤษ และด้านสนับสนุนการสอนของครูภาษาอังกฤษ องค์ประกอบทั้ง 3 ด้านมีประสิทธิภาพการสอนอยู่ในระดับมาก 2)ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองด้วยโปรแกรมลิสเรล พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาจาก ค่า Chi-Square มีค่าเท่ากับ 80.08 (P = 0.085) ค่า df มีค่าเท่ากับ 64 χ2/df มีค่าเท่ากับ 1.251 ค่า RMSEA มีค่าเท่ากับ 0.024 ค่า CFI มีค่าเท่ากับ 1.00 ค่า GFI มีค่าเท่ากับ 0.98 ค่า AGFI มีค่าเท่ากับ 0.94 ค่า SRMR มีค่าเท่ากับ 0.019 ค่าน้ำหนักองค์ประกอบที่มีผลต่อประสิทธิภาพการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านคุณภาพการสอนของครู ด้านลักษณะความเป็นครูภาษาอังกฤษ และด้านสนับสนุนการสอนของครูภาษาอังกฤษ ตามลำดับ ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.98, 0.91, และ 0.90รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต1 และเขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) พรชนก ต่ายหัวดง; เอื้อมพร หลินเจริญ; จุมพต ขำสีระการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการ ของ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายองค์ประกอบโดยสกัดองค์ประกอบหลักและแกนหมุนแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกช์ ผลการวิจัยพบว่าสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานกลุ่มวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการบริหารข้อมูลและสารสนเทศ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานวัดผลประเมินผลการเรียน การประเมินผลงานทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาองค์กร การนิเทศภายใน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารการเรียนการสอน การบริหารกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนางานวิชาการและการบริหารทรัพยากรทางวิชาการตามลำดับ โดยที่ทั้ง 11 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายควาแปรปรวนของสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการได้ร้อยละ 71.642รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพโรจน์ วัฒนวงศ์สุโข; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและปัญหาในการดำเนินงานบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ และด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลทางการเรียน ของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 2 และเพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหา โดยจำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2548 จำนวน 405 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมารค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย(x) ต่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติกี่ทดสอบค่าเอฟ(F-test) ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารวานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ รองลงมาได้แก่ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพการดำเนินการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับน้อย และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตำแหน่ง และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวม ด้านหลักสูตรสถานศึกษา และด้านการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจำแนกตามตำแหน่ง พบว่าในภาพรวม ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า บุคลากรทางการศึกษาที่สังกัดสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุธรรม ลังการ์พินธุ์; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต2 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารทั่วไป ครูที่ปฏิบัติหน้าที่งานธุรการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 337 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)และสถิติการทดสอบค่าเอฟ( F –test ) ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบสภาพและปัญหาในการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพและปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานระบบช่วยเหลือและดูแลนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) บัญชา ว่องวิกย์การ; สุรชัย ขวัญเมือง; ชุมพล เสมาขันธ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก ปีการศึกษา 2550 จำนวน 495 คน จาก 495 โรงเรียน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Random Sampling) ได้จำนวนประชากรทั้งหมด 348 คน สถิติวิเคราะห์ประกอบด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน f - test ผลการวิจัยพบว่า 1.การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก โดยภาพรวมมีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายขั้นตอนพบว่า ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมการและวางแผนการดำเนินงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง 2.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีประสบการณ์ต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 3.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีขนาดของโรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 4.ผู้บริหารโรงเรียน ที่สังกัดเขตพื้นที่โรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ในขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) วิษณุ สร้อยมี; เดือนใจ เกียวซี; สมหมาย อ่ำดอนกลอยการวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของสถานศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พิษณุโลก เขต 2 จำนวน 108 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในครั้งนี้ คือ แบบสอบถามการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยและ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในภาพรวมพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา การปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ในทุกด้านตามลำดับ ดังนี้ 1.ด้านการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2.ด้านการวางแผนการปฏิบัติงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3.ด้านการตรวจสอบประเมินผลระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4.ด้านการปรับปรุงระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สมบัติ ตาเกลี้ยง; สมหมาย อ่ำดอนกลอย; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มี 2 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร จำนวน 294 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน 2.การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มีดังนี้ 2.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมและมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม และให้ความเห็นชอบมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทบทวนมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อสร้างความตระหนัก และระดมสมองในการกำหนดกลยุทธ์ตัวชี้วัดความสำเร็จ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.3 ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ควรเน้นการมีส่วนร่วมให้ครอบคลุมกระบวนการ 2.4 ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และควรส่งเสริมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเสนอโครงการ อนุมัติโครงการ 2.5 ด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถานศึกษา มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาต่อชุมชน 2.6 ด้านการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาปฐมวัย 2.7 ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจ มีการนำเสนอแนวทางการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้รับทราบ เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ มีการชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคณะกรรมการสถานศึกษาปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน 2.8 ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ควรมีการพัฒนาตนเองของครู มีการประชุมตั้งคณะกรรมการจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันวางแผนการตรวจสอบทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการนำผลการประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาให้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) จั๋ย หยูนเหมย; เอื้อมพร หลินเจริญ; เกษม บุญโญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ช่างต่างประเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษษที่เรียนภาษากับอาจารย์ชาวต่างประเทศซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาศิลปะศาสตร์ โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชั้นปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 และปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2549 จำนวน 246 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน 70 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 223 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศในภาพรวมและแต่ละรายด้านอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วิลาวัลย์ ประทุมวงศ์; สธน โรจตระกูล; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 66 แห่ง แห่งละ 3 คน ประกอบด้วย นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน รวมทั้งสิ้น 198 คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีค่า Reliability เท่ากับ .95 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้ข้อมูลกลับคืนมา จำนวน 183 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 92.42 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการหาค่าที่ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว จากนั้นทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1.ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก มีความคิดเห็นต่อความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านงบประมาณมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการวางแผน และต่ำสุด ได้แก่ ด้านบุคลากร 2.ผลการเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปร ดังนี้ 2.1จำแนกตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาพรวมไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารเทศบาลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านการวางแผน และด้านบริหารจัดการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2จำแนกตามประสบการณ์การบริหารงาน ภาพรวมและทุกด้านไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานน้อยกว่า 5 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงาน 5 – 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานมากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากด้วยเช่นเดียวกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2543) เชาว์ เตล็ดทอง; สรรค์ วรอินทร์; สุดไฉน มีริยะเกิด
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »