วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/165
ค้นหา
71 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) นริศรา บำยุทธิ์; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 2) ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 3) แนวทางการส่งเสริมการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและ เฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างจากการกำหนดขนาดด้วยสูตรสำเร็จรูปของ “Taro Yamane” ที่จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาหาค่าแจกแจงความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานหาค่า t-test และ F-test One-Way ANOVA สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informant) จำนวน 10 คน โดยผลการวิจัยสรุปว่า 1. ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านปัจจัยสนับสนุนทางสังคม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า ปัจจัยสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก (r = .845**) การรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง (r = .458**) และแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของ อสม. มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง (r = .513**) 3. แนวทางการส่งเสริมการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 คือควรมีการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สามารถดูแลตนเองและเป็นที่พึ่งต่อคนในครอบครัวและประชาชนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดการสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรงในการเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโรคติดต่ออื่นๆ ในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น การเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศึกษากรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) อัจฉราวดี แก้วพันธ์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเนื่องมาจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่กำหนดโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมุ่งวิเคราะห์การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบด้วยกฎหมายอย่างมีประสิทธิผล การระบุหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือกระบวนการดังกล่าวพยายามที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมและความเสมอภาคในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษ ขณะเดียวกันก็ให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม วิธีการศึกษาประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนแรกเป็นการศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจและความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งคำสั่งทางปกครอง การเพิกถอนคำสั่ง การดำเนินการทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ความรับผิดของรัฐ และแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนต่อมาเป็นศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบหลักเกณฑ์และวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขความเสียหายอันเป็นผลจากการลงโทษทางวินัยที่ไม่เป็นธรรม ทั้งภายใต้กฎหมายไทยและกรอบกฎหมายต่างประเทศ โดยการดำเนินการศึกษานี้ในต่างประเทศ เรามุ่งหวังที่จะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และบทบัญญัติทางกฎหมายที่ครอบคลุมการเยียวยาความเสียหายในกรณีดังกล่าว ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องได้รับความสูญเสียทั้งทางการเงินและไม่ใช่ทางการเงิน รวมถึงสูญเสียผลประโยชน์ด้วย สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐจะชดเชยเยียวยาความเสียหายดังกล่าวอย่างไร ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังขาดกฎหมายหรือกฎเกณฑ์เฉพาะที่กำหนดวิธีการและรายละเอียดการชดเชยเยียวยาให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ การขาดความชัดเจนนี้เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของรัฐในการรับรองความเป็นธรรม สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยมิชอบกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ สำนักงาน ก.พ. ได้ออกระเบียบที่กำหนดกระบวนการเยียวยาชดเชยสำหรับผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติบังคับเพื่อชดเชยเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย หลักเกณฑ์และวิธีการที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกลงโทษให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าในหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น เพื่อให้การชดเชยเยียวยาที่เหมาะสมแก่ข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงจำเป็นต้องจัดทำกรอบที่ครอบคลุมแนวปฏิบัติจากต่างประเทศและระเบียบ ก.พ.ค.ว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องทุกข์ หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยยึดหลักความยุติธรรม ทำให้เราสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเยียวยากรณีต่าง ๆ แก่ผู้อุทธรณ์และผู้ร้องเรียนได้ การพิจารณาสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย และกำหนดกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่สนับสนุนสิทธิในการได้รับการเยียวยาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงเสนอให้มีการออกกฎระเบียบภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะสรุปหลักเกณฑ์และวิธีการเฉพาะในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง กรอบนี้ควรให้ความชัดเจนและแน่นอนเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าชดเชยที่ควรจัดสรร และ การเยียวยาในด้านต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกลงโทษทางวินัย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายของข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่นที่ถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) รุ่งโรจน์ ฝ้ายเยื่อ; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ 2.เพื่อพัฒนารูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ และ 3.เพื่อประเมินรูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้นำนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏจำนวน 620 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบวัดภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ตามแนวคิดของ Robert K.Greenleaf วิเคราะห์และตรวจสอบองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสองด้วยโปรแกรม Mplus ผลการวิจัย พบว่า 1.องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ความสอดคล้องของโมเดลโครงสร้างภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องกลมกลืนประกอบด้วย Chi-Square = 2239.213, df= 727, p-value=0.000, CFI=0.971, TLI=0.969, RMSEA=0.058 และ WRMR= 1.440 2.รูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้ พัฒนาทักษะและคุณลักษณะ การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อมเนื้อหาของหลักสูตรฝึกอบรม แบ่งเป็น 4 หน่วยเรียนรู้ คือ 1)ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้, 2)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “เข้าใจ”, 3)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “เข้าถึง”,และ 4)วิธีแห่งศาสตร์พระราชา “พัฒนา” 3. ผลการประเมินรูปแบบพัฒนาภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของผู้นำนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ระดับคุณภาพความเหมาะสมของรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.63) และระดับคุณภาพความเป็นไปได้ของรูปแบบมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.55)
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พัฒณปกรณ์ ดอนตุ้มไพร; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตรการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ซี่งมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ (1) เพื่อศึกษาปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก (3) เพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 400 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 27 คน ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก โดยรวมพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.06) เมือแยกเป็นรายด้าน พบว่า การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลเป็นผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) ด้านการมีส่วนร่วมลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนระดับท้องถิ่น (x̄= 3.80) และด้านการมีส่วนร่วมในการติดตามข้อมูลข่าวสารการเมืองระดับท้องถิ่น (x̄ = 3.62) และการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อย 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมการติดตามตรวจสอบโครงการ (x̄ = 2.39) และด้านการมีส่วนร่วมตรวจสอบแผนพัฒนา 3 ปี (x̄ = 2.10) ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของภาคประชาชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก (2) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการทำประชาคม ประชาวิจารณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่น อยู่ในระดับปานกลาง (3) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคัดเลือกบุคคลเป็นตัวแทนและลงคะแนนเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (4) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย (5) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและติดตามแผนพัฒนาท้องถิ่น อยู่ในระดับน้อย
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น การกระทำความผิดของเด็ก : ศึกษากรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ประภาพร สมพร; พิชญา เหลืองรัตนเจริญเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับการกระทำความผิดของผู้ใหญ่หรือเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากของอาชญากรวัยเด็กที่ร้ายแรงต่อสังคมและเป็นภัยสังคมในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นกฎหมายประเทศไทยในปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเพราะไม่มีการพัฒนาในมาตรการการกระทำความผิดของเด็กที่รุนแรงขึ้น และมาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่เป็นกฎหมายเฉพาะในการใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนนี้เหมาะสำหรับการกระทำความผิดที่เล็กน้อยเพราะกฎหมายมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนกลับตัวใหม่เป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้นการที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือกระทำความผิดที่เสมือนการกระทำความผิดแบบผู้ใหญ่ที่ย่อมเล็งเห็นผลว่าการกระทำที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแบบอาชญากรและเป็นภัยสังคมอย่างมากดังเหตุการข่าวในปัจจุบันที่เด็กอายุ 14 กราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าพารากอน และคดีเด็กและเยาวชนอายุเพียง 13-16 ปีวางแผนข่มขืนและฆ่าตกรรมป้ากบหรือป้าบัวผัน เหตุการณืเช่นนี้กลับเป็นการกระทำความผิดของเด็กทั้งสิ้นควรลงโทษหรือมีมาตรการสำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดี การลงโทษที่ใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมันล่าสมัยเกินกว่าจะนำมาปรับใช้ในการปัจจุบัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศในกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในระบบกฎหมาย Common law Civil law และคอมมิวนิสต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหมดแล้ว และนี้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแก้ไขของไทยที่ผู้เขียนเห็นว่าควรมีมาตรการสำหรับการลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดซ้ำซากและร้ายแรงส่งผลให้เป็นภัยสังคมอย่างยิ่งโดยเปรียบเทียบในหลักเกณฑ์อายุ โทษที่จะได้รับ และฐานความผิดที่สมควรลงโทษเพื่อประโยชน์ของประเทศที่กระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เป็นไปในทางพัฒนาและสามารถลงโทษตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง เพื่อเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างเป็นธรรม
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อนุวัฒน์ ชมภูปัญญา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้ตารางคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.724 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว รองลงมาคือ เส้นทางการเข้าถึงชุมชน ด้านการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านการจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน ด้านการจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ 2. ปัจจัยการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีผลต่อการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า แนวทางการบริหารจัดการชุมชนสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มี 6 ข้อ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว 2) การจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน 3) การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว 4) ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) เส้นทางการเข้าถึงชุมชน และ6) การจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน
- รายการ - การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กรณีศึกษา : ตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กฤษณะ เอี่ยมสะอาด; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สาคร สร้อยสังวาลย์ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบทชุมชน ปัญหาความต้องการ ใช้น้ำรวมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร และตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยจัดเวทีประชาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรณีศึกษาได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชหลัก 5ชนิด คือ ข้าว กล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด จำนวน 300 ครัวเรือน ในเขตพื้นตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตำบลหนองกลับเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุด ในอดีตให้ผลคุ้มค่า แต่ภายหลังเกิดโรค แมลง ศัตรูพืชระบาด เกษตรกรจึงหันมาปลุกกล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพดตามลำดับ ในด้านปัญหาเกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร เกษตรกรปลูกข้าวเป็นพืชหลัก อาศัยน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีแหล่งน้ำไหลผ่าน มีเพียงลำคลองสายสั้น ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ในฤดูฝนบางปีอาจมีน้ำท่วม ทำให้ใช้น้ำจากบ่อบาดาล คลอง หนอง และบึงธรรมชาติ โดยมีน้ำใช้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปี แต่ในช่วงฤดูฝน บางปีอาจถุกน้ำท่วมทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับความต้องการ และข้อเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว มีดังนี้คือ 1. ต้องการระบบชลประทาน โดยเฉพาะคลองส่งน้ำ ที่สามารถกระจายน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลุกทั่วถึง 2. ต้องการแหล่งน้ำตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการขุดสระกักเก็บน้ำที่จะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี 3. ต้องการขุดลอกคลอง หนอง และบึงธรรมชาติ ให้มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นความต้องการของเกษตรกร ที่ปลูกกล้วยไม้ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด 4. ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองจะก่อเกิดประโยชน์ในหลายประการ และทำให้การดำเนินงานด้านเกษตรกรรมของชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบมีเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมชาติแก่เกษตรกรผู้ใช้น้ำโดยส่วนร่วม ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสนใจ และมีมติเห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น ประสิทธิผลการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสําหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการ ธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ชิดชนก ชัยวัฒน์ตระกูล; ธนัสถา โรจนตระกูล; โชติ บดีรัฐการศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่สามารถใช้และยื่นสินเชื่อ จำนวน 264 คน จากสูตรของยามาเน่ เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.881 สถิติ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test และ F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 16 คน เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์โดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พบว่า ลูกค้าที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน กรณีศึกษาธนาคารออมสิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการพัฒนาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน พบว่า ควรดำเนินการ คือ 1) การประเมินโครงการก่อนดำเนินการที่ผ่านมาให้เห็นถึงปัญหา อุปสรรค 2) การประเมินระหว่างดำเนินการโครงการ เพื่อเป็นการทบทวนแผนของโครงการ 3) การประเมินโครงการหรือการประเมินประสิทธิภาพ การประเมินที่ให้เห็นถึงผลสำเร็จของการดำเนินโครงการในเชิงของประสิทธิภาพ และ 4) การพัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการ เพื่อนำผลการดำเนินงานที่ผ่านมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานต่อไป
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อานุภูม มณเฑียร; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; โชติ บดีรัฐการศึกษาวิจัยเรื่องมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลกกรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ดำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจกับบุคลากรของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จำนวน 236 คน โดยเก็บจากประชากรทั้งหมด เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test การทดสอบค่า F-test และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยรูปแบบข้อมูลเชิงพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการรายงานผลการปฏิบัติการ รองลงมา คือ ด้านการอำนวยการและการสั่งการ ด้านการจัดองค์กรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ ด้านการบริหารงบประมาณในพื้นที่ ด้านการกำหนดนโยบายและการวางแผน ด้านการจัดบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ และด้านการประสานงาน ตามลำดับ 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก พบว่า บุคลากรที่มี เพศ อายุ การศึกษา ตำแหน่ง เงินเดือน และประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก ไม่แตกต่างกันทุกด้าน 3. แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก กรณีศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พบว่า 1) การดำเนินการสำรวจจัดทำทะเบียนจำนวนโบราณสถานทั้งหมดให้ชัดเจน 2) การดำเนินการทางด้านงานวิชาการและงานบูรณะโบราณสถาน 3) การดำเนินการถ่ายทอดข้อมูลองค์ความรู้ด้านแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ 4) การดำเนินการประสานงานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและชุมชน และ 5) การดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนผลประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่จากการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม
- รายการ - เมทาเดทาเท่านั้น การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคม
