วิทยานิพนธ์

Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/151

ค้นหา

ผลลัพธ์การค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 23
  • รายการ
    บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิต
  • รายการ
    อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ถมทอง เผือกอ่อน; วิจิตรา จำลองราษฎร์; อรรถพล จรจันทร์
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี การรับรู้ความเสี่ยงและการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ กับการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ประชากรคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีอยู่ในระดับมากที่สุด การรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง และการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนเพศ อายุ และรายได้ที่แตกต่างกันมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แตกต่างกัน สำหรับการวิเคราะห์อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า การยอมรับเทคโนโลยีมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการรับรู้ความเสี่ยงไม่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ถูกต้องร้อยละ 24.20
  • รายการ
    คุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กรและความคล่องตัวในการเรียนรู้ทีส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) จุฬาพัฒน์ สิ่วหงวน; จิระภา งามสุทธิ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร ความคล่องตัวในการเรียนรู้ และผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร และความคล่องตัวในการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ บุคลากรสายวิชาการ และสายสนับสนุนวิชาการ จํานวน 376 ราย ผู้วิจัยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร และความคล่องตัวในการเรียนรู้ของบุคลากรในมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก และความผูกพันในองค์กรส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยารัฐในจังหวัดพิษณุโลกมากที่สุด รองลงมาก คือ คุณภาพชีวิตในการทํางาน และความคล่องตัวในการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์ผลการดําเนินงานขององค์กรได้ถูกต้องร้อยละ 76.70
  • รายการ
    การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ละดาวัลย์ จันทโชติ; ลัสดา ยาวิละ; รัตนา สิทธิอ่วม
    บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน จากกลุ่มลูกค้าที่เลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ในเขตภาคเหนือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณผลการศึกษาพบว่า 1) เพศ อายุ สภานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และผ่านทางวีดีโอออนไลน์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 28.50อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3).ส่วนประสมการตลาด 4Es ด้านการสร้างความสัมพันธ์และด้านการสร้างประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 51.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พณณกร กระบวนศรี; อุษณีย์ เล็งพานิช; รัตนา สิทธิอ่วม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทัศนคติต่อการทำงานที่บ้านมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง (2) ศึกษาบรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลางและ (3) ศึกษาการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรมมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรกรมบัญชีกลางส่วนกลางในกรุงเทพมหานครที่ทำงานที่บ้าน จำนวน 311 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า (1) ทัศนคติต่อการทำงานที่บ้านมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการใช้ และปัจจัยด้านความเข้ากันได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 (2) บรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่ทำงาน และปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ(3) การรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรมมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยต่อการใช้และปัจจัยด้านนโยบายรัฐบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 โดยปัจจัยที่ร่วมกันพยากรณ์ความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านได้มากที่สุด คือ บรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่ทำงาน และปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่บ้าน มีค่าร้อยละ 54.80 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 45.20 เกิดจากปัจจัยอื่นๆ
  • รายการ
    อิทธิพลของวัฒนธรรมองค์กร การจัดการความรู้และนวัตกรรมองค์กรที่มีต่อผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) จีรวรรณ สุทธการ; วิจิตรา จำลองราษฎร์; อรวรรณ ศรีตองอ่อน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมองค์กร การจัดการความรู้นวัตกรรมองค์กร และผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของวัฒนธรรมองค์กร การจัดการความรู้ และนวัตกรรมองค์กรที่มีต่อผลการดำเนินงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน 371 ราย ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า วัฒนธรรมองค์กร การจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กรและผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมากที่สุด และนวัตกรรมองค์กรส่งผลต่อผลการดำเนินงานขององค์กรมากที่สุด รองลงมา คือ วัฒนธรรมองค์กร และการจัดการความรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสามารถพยากรณ์ผลการดำเนินงานขององค์กรได้ถูกต้องร้อยละ 80.10
  • รายการ
    อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปิยะนุช พรหมประเสริฐ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร และความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และ 4) เพื่อทดสอบอิทธิพลความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 640 ราย เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 64 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน 4) แรงจูงใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 5) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 6) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 7)สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่าน 8) ความพึงพอใจในการทำงานที่เป็นตัวแปรกำกับไม่ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
  • รายการ
    อิทธิพลเอกลักษณ์ตราสินค้าที่เป็นปัจจัยกำกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและความรักในตราสินค้าไปสู่ความภักดีในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ภัทรพนธ์ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; ประสิทธิชัย นรากรณ์
  • รายการ
    ส่วนประสมทางการตลาดบริการ และการยอมรับเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) เบญจมาศ วงศ์พุฒิ; วิจิตรา จำลองราษฎร์; เอกรงค์ ปั้นพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดบริการ การยอมรับเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน และการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดบริการ และการยอมรับเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟนที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ลูกค้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวน 361 คน ผู้วิจัยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดบริการ การยอมรับเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน และการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์อยู่ในระดับมากที่สุด และส่วนประสมทางการตลาดบริการและการยอมรับเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟน ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ของลูกค้าธนาคารอาคารสงเคราะห์อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์ผลการตัดสินใจใช้แอปพลิเคชัน GHB ALL ได้ถูกต้องร้อยละ 86.60
  • รายการ
    ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ความไว้วางใจ และคุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พิสิษฐ์ พิชญ์สิริทรัพย์; ลัสดา ยาวิละ; รัตนา สิทธิอ่วม
    งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาความไว้วางใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย และ 3) เพื่อศึกษาคุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย โดยไม่ทราบกลุ่มจำนวนประชากร จึงใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทยมีตัวแปรด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย โดยสามารถใช้สมการพยากรณ์ได้ร้อยละ 63 ความไว้วางใจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย โดยสามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 58 และคุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออุปกรณ์กีฬาแบรนด์ไทยในประเทศไทย โดยสามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 53 โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05