มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 149
  • รายการ
    รูปแบบศูนย์การเรียนรู้ความหลากหลายทางระบบนิเวศและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สัมพันธ์ กับวิถีชีวิตคนท้องถิ่นพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน เขตอุทยานภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) โชติ บดีรัฐ; สุพัตรา เจริญภักดี บดีรัฐ; ยุวดี พ่วงรอด; รสสุคนธ์ ประดิษฐ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความหลากชนิดของตัวบ่งชี้ชีวภาพและลักษณะทางกายภาพของระบบนิเวศในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน 2) เพื่อศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น การอนุรักษ์ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 3) เพื่อศึกษาการจัดทำแผนแม่บทชุมชนต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ ภูมิปัญญาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม และ 4) เพื่อศึกษารูปแบบศูนย์การเรียนรู้ความหลากหลายทางระบบนิเวศและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตคนท้องถิ่นพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน เก็บข้อมูลวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากตารางของ Krejci&Morgan ที่ระดับความคลาดเคลื่อน .05 ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 383 คน และนำมาวิเคราะห์หาค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จากนั้นเก็บข้อมูลวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสนทนากลุ่ม จากกลุ่มตัวอย่างสุ่มแบบเจาะจง ทั้ง 3 กลุ่ม (45 คน) และนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. ความหลากชนิดของตัวบ่งชี้ชีวภาพและลักษณะทางกายภาพของระบบนิเวศบริเวณประปาภูเขาในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน พบว่า 1.1 พืชที่พบมากที่สุดต่อแปลง คือ กลุ่มแอนโทไฟตา (พืชดอก) ได้แก่ Globba sp. (11 แปลง) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Zingiberaceae รองลงมา คือ Memecylon sp. (10 แปลง ) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Melastomataceae และ Iguanura sp. (3 แปลง) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Arecaceae ตามล้าดับ พบพืชกลุ่มไบรโอไฟตา (พืชไม่มีท่อลำเลียง) จ้านวน 5 วงศ์ 5 สกุล 5 ชนิด และพบพืชกลุ่มเทอโรไฟตา (เฟิร์น) จำนวน 2 ชนิด ซึ่งอยู่ในวงศ์ Grammitidaceae และไม่สามารถระบุชนิดพืชได้จำนวน 19 ชนิด 1.2 ราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาที่พบมากที่สุดอยู่ในวงศ์ Acaulosporaceae สกุล Acaulospora (20 ชนิด) ชนิดเด่นคือ AMFKM1 (Acaulospora sp.) มี 38 สปอร์ต่อดิน 100 กรัม รองลงมาอยู่ในวงศ์ Glomeraceae สกุล Glomus (4 ชนิด) และวงศ์ Gigaspoaceae สกุล Gigaspora (3 ชนิด) ตามลำดับ 1.3 พบแพลงก์ตอนพืชทั้งหมด 20 สกุล 31 ชนิด แพลงก์ตอนพืชที่พบมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ Fragilaria sp. (6 ชนิด) รองลงมาคือ Surirella sp. (4 ชนิด) และ Eunotia sp. (3 ชนิด) ประเมินคุณภาพน้ำด้วยแพลงก์ตอนพืชสกุลเด่นตามวิธี AARL – PC Score พบน้ำมีคุณภาพปานกลางถึงไม่ดี สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ทางเคมีและกายภาพ ดังนั้นแพลงก์ตอนพืชเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพน้ำได้ 1.4 ดินส่วนใหญ่ร่วนและมีการระบายน้้าดี อุณหภูมิดินปานกลาง (29-31 °C) ค่ากรด-ด่าง ค่อนข้างต่ำ (3.4-4.7) ค่าการนำไฟฟ้า (441.7-859.3 µS/cm) กับค่าเกลือ (209.7-415.3 ml/L) มีอินทรียวัตถุในดินสูง (3.6-10.3%) มีธาตุไนโตรเจนสูง (3.42%) ธาตุฟอสฟอรัสต่ำ (0.35%) และธาตุโพแทสเซียมสูง (95.8 mg/Kg) ดินโดยรวมมีความอุดมสมบรูณ์ปานกลาง 1.5 ค่าดัชนีความหลากหลายของพืช ราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและแพลงก์ตอนพืช คำนวณจาก Shannon-Wiener index อยู่ในระดับค่อนข้างน้อย คือ 1.32, 1.10 และ 2.37 ตามลำดับ และ Simpson index แสดงความเด่นของชนิดน้อย คือ 0.67, 0.78 และ 0.87 ตามลำดับ 2. ภูมิปัญญาท้องถิ่น การอนุรักษ์ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึนถูกศึกษาความจำเป็นทางกายภาพ 4 ด้าน (ด้านอาหาร ด้านที่อยู่อาศัย ด้านเครื่องนุ่งห่ม ด้านยารักษาโรค) และด้านอื่น ๆ (อาทิ ภูมิปัญญากับความเชื่อความศรัทธา) พบว่ามีความหลากหลายมาก เช่น มีพิธีกรรมความเชื่อด้านการท้าบายศรีสู่ขวัญ เสริมดวง ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์ พิธีกรรมบูชาพระแม่โพสพ ความเชื่อศาลปู่ศาลย่า บูชาบรรพบุรุษ มีการปลูกสมุนไพรพื้นบ้านเพื่อใช้รักษาโรค เป็นต้น 3. การจัดท้าแผนแม่บทชุมชนต่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ ภูมิปัญญาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมถูกศึกษาและพบว่าการเก็บข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม จำนวน 3 กลุ่ม เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพชุมชนและเผยให้เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัดที่นำมาสู่การกำหนดวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ มาตรการ แผนงาน โครงการและกิจกรรม มีการยกแผนแม่บทฉบับร่างจากการระดมความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแนวทางการด้าเนินงานโดยเลือกตั้งคณะทำงาน (หมู่บ้านละ 2 คน) และเชิญผู้อาวุโสของตำบลเป็นที่ปรึกษา จากนั้นได้นำแผนแม่บทชุมชนฉบับร่างเข้าสภาตำบล เพื่อพิจารณาให้ถูกต้องสมบรูณ์ พร้อมได้กำหนดผู้รับผิดชอบตามยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน 2) ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึน และ 3) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ทุกโครงการและกิจกรรมถูกเรียงลำดับตามความสำคัญ หลังจากนั้นจึงบรรจุในแผนพัฒนาตำบลของเทศบาลตำบลเนินเพิ่ม 4. การศึกษารูปแบบศูนย์การเรียนรู้ความหลากหลายทางระบบนิเวศและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตคนท้องถิ่นพื้นที่ป่าต้นน้ำขมึนถูกสำรวจและพบว่าประชาชนต้องการให้เกิดแบบจำลองขนาดเล็กที่เคลื่อนย้ายได้ที่มีแสงและสีสมจริง
  • รายการ
    ความหลากหลายของอาร์โทรพอดในสวนยางพารา อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ขนิษฐา ไชยแก้ว; อารยา บุญศักดิ์; สุรีย์รัตน์ บัวชื่น; วณิชญา ฉิมนาค
    วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาความหลากหลายของอาร์โทรพอด ในสวนยางพารา อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก โดยศึกษาถึงความสัมพันธ์ของความอุดมสมบูรณ์ของสภาพพื้นที่กับความหลากหลายของอาร์โทรพอด โดยเก็บตัวอย่างอาร์โทรพอดที่อาศัยอยู่บริเวณผิวดิน และที่ระดับความลึก 10 เซนติเมตร วางแนวสำรวจยาว 100 เมตร สุ่มเก็บตัวอย่าง 10 จุด คัดแยกอาร์โทรพอดด้วยกรวยคัดแยก (Tullgren funnel) พบอาร์โทรพอดทั้งหมด 3 ชั้น 11 อันดับ 17 วงศ์ รวมทั้งหมด 323 ตัว โดยอาร์โทรพอด ชั้น Insecta พบจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 76.78 รองลงมาคือ อาร์โทรพอดชั้น Archnida และ Diplopoda คิดเป็นร้อยละ 20.74 และ 2.48 ตามลำดับ เมื่อจำแนกตามอันดับ พบว่าแมลงในกลุ่มมดอันดับ Hymenoptera วงศ์ Formicidae พบจำนวนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 32.20 ค่าดัชนีความหลากหลาย Shannon-Wiener Diversity Index (H') พบว่า ตำบลน้ำกุ่ม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 0.24 และพื้นที่ตำบลห้วยเฮี้ยมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ 0.10 ในส่วนค่าดัชนีความสม่ำเสมอ พบมีค่าดัชนีความสม่ำเสมอเฉลี่ย อยู่ในช่วง 0.03 – 0.08 และมีค่าดัชนีความความสม่ำเสมอเฉลี่ยของอันดับ Araneaer สูงที่สุด รองลงมาคืออันดับ Mantodea เท่ากับ 0.09 และ 0.02 ซึ่งจากการศึกษาพบว่าความหลากหลายของอาร์โทรพอดจะสัมพันธ์กับสภาพพื้นที่ โดยพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นมากกว่า เช่น ตำบลน้ำกุ่ม มีความหลากหลายของอาร์โทรพอดมากกว่าพื้นที่อื่นๆ
  • รายการ
    ผลการจัดการเรียนการสอน แบบActive Learning ในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่องานโรงแรม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ณัฐกานต์ เส็งชื่น; อารยา บุญศักดิ์; สุรีย์รัตน์ บัวชื่น; วณิชญา ฉิมนาค
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาผลสัมฤทธิ์จากการเรียนด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning และ เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้แบบ Active Learning กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ENG 173 ภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม 2 ภาคการศึกษา 2/2559 ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 45 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการทดลอง คือ กิจกรรมการเรียนการสอนตามแบบการเรียนรู้ แบบ Active Learning แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบ Active Learning วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักศึกษา สูงกว่าก่อนเรียน และ นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Active Learning) โดยรวมอยู่ระดับมาก มี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.42
  • รายการ
    บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิต
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมในเขตพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก เพื่อรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยว
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) โชติ บดีรัฐ; สุพัตรา เจริญภักดี บดีรัฐ; ยุวดี พ่วงรอด; นันทพันธ์ คดคง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการสำรวจรูปแบบการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม และ 4) เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมของอำเภอเมืองพิษณุโลก เพื่อรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยว เก็บข้อมูลวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % และที่ระดับความคลาดเคลื่อน ± 5 % ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจะใช้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม คือ 400 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ได้แก่ 1) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 3 คน 2) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 3 คน 3) ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 19 คน รวมถึงกลุ่มตัวอย่างจากการสนทนากลุม จำนวน 38 คน และนำมาวิเคราะห์หาค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยมีดังนี้ 1.รูปแบบการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า อารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม จะต้องประกอบไปด้วย สถานที่ สิ่งของ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเราให้รองรับการใช้งานของมวลสมาชิกในสังคม โดยที่ไม่ต้องออกแบบหรือจัดทำขึ้นสำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าพวกเขานั้น จะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย วัยเด็กหรือวัยชรา ใช้ขาเดินหรือใช้รถเข็น การออกแบบดังกล่าวจะเน้นประโยชน์สูงสุดของคนในสังคมร่วมกัน โดยไม่มีข้อจำกัด เช่น การทำทางลาดขึ้นลง ทางเท้า และอาคารสถานที่ต่างๆ ให้กับผู้พิการที่ใช้รถเข็น หรือบล็อกทางเดินสำหรับคนตาบอด เพื่อให้พวกเขานั้น ใช้ชีวิต นอกบ้านได้อย่างสะดวก และปลอดภัย 2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความเข้าใจ ข้อมูลชัดเจน และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ด้านมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ด้านความเสมอภาค เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์ ด้านเบาแรงช่วยทุนแรงกาย ด้านมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง และด้านความปลอดภัย มีระบบป้องกันอันตราย 3.แนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า ด้านความเสมอภาค เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์ และด้านพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง ควรมีการจัดสรรโดยไม่เลือกปฏิบัติ จะต้องมีการจัดทำขึ้นเพื่อคนทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกอาชีพ จะยากดีมีจน หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก ด้านการใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยว นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่หลากหลายกลุ่ม หลายระดับ หลายเพศ หลายวัย เข้ามานมัสการพระพุทธชินราช มาเที่ยวชมโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซื้อของฝาก รวมถึง ด้านความเข้าใจ ข้อมูลชัดเจน ควรจัดทำขึ้นให้มีการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ข้อมูลชัดเจนทั้งด้านภาษา ด้านรูปภาพ ด้านสัญลักษณ์ และการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความเหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม และสามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ด้านความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ด้านเบาแรงช่วยทุนแรงกาย โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ ที่สำคัญคือ ด้านความปลอดภัย ต้องมีระบบป้องกันอันตราย ซึ่งด้านนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่จะสร้างความสบายใจ ความน่าประทับ และความไว้วางใจ เพราะคำว่าอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม จะต้องตระหนักถึงความปลอดภัย มีระบบป้องกันอันตรายที่มาเป็นอันดับต้นๆ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน และสามารถรองรับทั้งด้านการท่องเที่ยว ด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจได้ ด้านพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง พบว่า ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมในเขตพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก 4.การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมของอำเภอเมืองพิษณุโลก พบว่า สถานที่ที่นําเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมมากที่สุด และประชาชนเข้าใช้บริการอารยสถาปัตย์ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เนื่องด้วยถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก จึงทำให้มีการออกแบบและรองรับด้านอารยสถาปัตย์ได้มาตรฐาน สามารถรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยวได้
  • รายการ
    อิทธิพลของการบริการภิวัฒน์การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พลอยณัชชา เดชะเศรษฐ์ศิริ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสําคัญการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็น ดิจิทัล นวัตกรรมการบริการ และผลการดําเนินงานของธุรกิจ 2) ศึกษาอิทธิพลของการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็นดิจิทัล และนวัตกรรมการบริการที่ส่งต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ และ 3) เพื่อ ทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการที่เชื่อมโยงการ บริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในภาคเหนือของประเทศไทย ผู้วิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการ คณะกรรมการบริหารหรือผู้จัดการของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือจํานวน 422 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาและสถิติอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญกับทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20) รองลงมาคือ การแปลงเป็นดิจิทัล (ค่าเฉลี่ย รวมเท่ากับ 4.06) และนวัตกรรมการบริการ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.84) ตามลําดับ สําหรับผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้าของบริษัทกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ในระดับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ เป้าหมาย (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.83) และผลการดําเนินงานทางการเงินของบริษัทกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.33 การบริการภิวัฒน์มีอิทธิพลทางตรงเซิงบวกต่อการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และต่อผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้าอย่างม นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทางการเงิน สําหรับการ แปลงเป็นดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงต่อนวัตกรรมการบริการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 แต่ ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทั้งผลการดําเนินงานทางการเงินและผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า ส่วนนวัตกรรมการบริการมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อทั้งผลการดําเนินงานทาง การเงินและผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เมื่อ พิจารณาอิทธิพลทางอ้อมและอิทธิพลโดยรวมพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานทาง การเงินมากที่สุดคือ นวัตกรรมการบริการ รองลงมาคือ การบริการภิวัฒน์ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการดําเนินงานทางการเงิน ได้ร้อยละ 10.70 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานด้านการบริการลูกค้ามากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ รองลงมาคือ นวัตกรรมการบริการ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้า ได้ร้อยละ 28.90 เมื่อพิจารณาอิทธิพลของตัวแปรคั่นกลาง คือ การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการท เชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์สู่ผลต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs พบว่า การแปลงเป็นดิจิทัลเป็น ตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มิอิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการ ดําเนินงานทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ส่วนนวัตกรรมการบริการ เป็นตัวแปร คั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มี่อิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงาน ทางการเงิน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้านการ บริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
  • รายการ
    อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปิยะนุช พรหมประเสริฐ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร และความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และ 4) เพื่อทดสอบอิทธิพลความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 640 ราย เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 64 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน 4) แรงจูงใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 5) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 6) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 7)สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่าน 8) ความพึงพอใจในการทำงานที่เป็นตัวแปรกำกับไม่ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน
  • รายการ
    กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63
  • รายการ
    อิทธิพลเอกลักษณ์ตราสินค้าที่เป็นปัจจัยกำกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและความรักในตราสินค้าไปสู่ความภักดีในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ภัทรพนธ์ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; ประสิทธิชัย นรากรณ์
  • รายการ
    การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) น้อย คันชั่งทอง; สุขแก้ว คำสอน; บุญส่ง กวยเงิน
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 2) พัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 3) ทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา และ 4) ประเมินผลประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา การวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ การวิจัยระยะที่ 1 การศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐในเขตภาคเหนือ จำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิจัยระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลโดยใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวิจัยคือ ประเด็นการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์ของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยระยะที่ 3 การทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 56 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 26 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม และแบบสอบถามความตระหนักรู้ต่อการไม่ลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่า t-test การวิจัยระยะที่ 4 การประเมินประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษารับรู้ว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก นักศึกษามีพฤติกรรมการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สาเหตุการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษากลิจจากภายในตัวบุคคลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ขาดทักษะด้านภาษาอังกฤษ ต้องการได้เกรด/คะแนนที่ดี และขอบความสะดวกสบาย ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 การป้องกัน องค์ประกอบที่ 2 การตระหนักรู้ และองค์ประกอบที่ 3 การสนับสนุน ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายตัวแปรปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมได้ร้อยละ 70.14, 2) แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การป้องกัน กลยุทธ์ที่ 2 การให้ความตระหนักรู้ และกลยุทธ์ที่ 3 การสนับสนุน 3) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความรู้ความใจเรื่องการออกเสียนวรรณกรรมทั้งโดยภาพรวมและรายด้านสูงกว่ามักศึกษาที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมีนัยสĞำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความตระหนักรู้ต่อการไม่ออกเสียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) แนวทางการป้องกันการลอกเสียนวรรณกรรมของนักศึกษามีประสิทธิภาพด้านความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน