มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 8 of 8
  • รายการ
    การบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน กรณีศึกษาเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนสุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) กรรณิการ์ ไกรกิจราษฎร์; โชติ บดีรัฐ; ศรชัย ท้าวมิตร
    การท่องเที่ยวถือมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในระดับโลก ปัจจุบันจากสถิติพบว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจที่มากมายมหาศาลจากการท่องเที่ยวนั้น มีจำนวนมากขึ้นทุกปีต่อเนื่องกัน กล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลของทุกประเทศจึงให้ความสำคัญกับนโยบาย ด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก การวิจัยครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริการจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน 2) เพื่อเปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน เป็นวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา แจกแจงความถี่หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบค่า t - test F - test รายคู่ LSD และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพ การสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก จำนวน 10 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านการดึงดูดทางการท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านศักยภาพของบุคลากรชุมชน ด้านการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยว ด้านการสร้างการรับรู้คุณค่า ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยว และด้านความปลอดภัย 2) เปรียบเทียบและหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่อการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกับการบริหารจัดการศักยภาพการท่องเที่ยว พบว่า ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยว และหากมีการจัดเส้นทางการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่ไปท่องเที่ยวมากที่สุด มีความสัมพันธ์ในระดับสูงมาก (r = .778**, -.746** , P<.01 = 0.03, 0.00) ส่วนด้านอื่นมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง-ต่ำตามลำดับ 3) แนวทางการการบริหารศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบยั่งยืน พบว่า ต้องเริ่มจากคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็ง เครือข่ายทุกภาคส่วนต้องส่งเสริมผลักดัน ชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความรู้สึกปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ รักษาความเป็นเอกลักษณ์ ความมีชื่อเสียง รู้รักหวงแหนมองเห็นคุณค่า เชื่อมโยงการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟู อนุรักษ์ พัฒนา ต่อยอดสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน อย่างยั่งยืน
  • รายการ
    การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กรณีศึกษาอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นรากรณ์ ค่ำสว่าง; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตุประสงค์เพือ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที9ยวเชิงสร้างสรรค์ กรณีศึกษาอําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสมผสานระหว่างวิจัยเชิงปริมาณ จากการแจกแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตอบแบบสอบถาม คือประชาชนในเขตอําเมืองพิษณุโลก 400 คน การวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสําคัญ จํานวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า f-test และการทอสอบรายคู่ (LSD) ผลการวิจัย พบว่า 1. การมีส่วนร่วมของประชาชต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด 5 ข้อ ซึ่งสามารถเรียงลําดับจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ คือ ด้านการมีส่วนร่วมรับข้อมูลข่าวสาร ด้านการมีส่วนร่วมให้ข้อมูล ด้านการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น มีด้านการมีส่วนร่วมสนับสนุน และด้านการมีส่วนร่วมในการทํางานทุกขั้นตอน ตามลําดับ 2. การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กรณีศึกษาอําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พบว่า ประชาชนที่มีอายุ การศึกษา สถานภาพ อาชีพ รายได้ต่อเดือนต่างกัน โดยรวมมีส่วนร่วมแตกต่างกัน ทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนประชาชนที่มีเพศต่างกันโดยรวมมีส่วนร่วมไม่แตกต่างกันทางสถิติที่ระดับ .05 3. แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการพัฒนาแผนการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมประชุมประชาคมแสดงความคิดเห็นปัญหาความต้องการ ควรจัดให้มีการอบรมหรือกิจกรรมให้ความรู้เข้าใจในการพัฒนาแผนแก่ประชาชน เพื่อสร้างแรงจูงใจและความใกล้ชิดประชาชน
  • รายการ
    นโยบายภาครัฐในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ในเขตพื้นที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พศิน พาณิชย์; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมของประชาชนต่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและ 3. เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ในเขตพื้นที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จำนวน 410 คน และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ปราชญ์ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จำนวน 20 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. พฤติกรรมของประชาชนต่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนส่วนใหญ่เข้ามาท่องเที่ยวกับครอบครัว/ญาติ คิดเป็นร้อยละ 48.78 และเข้ามาท่องเที่ยวช่วงเดือน ตุลาคม–ธันวาคม คิดเป็นร้อยละ 56.09 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนด้านการดึงดูดการท่องเที่ยว โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านผลิตภัณฑ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการจัดการข้อมูลเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการสร้างการรับรู้คุณค่าโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านศักยภาพของบุคลากรชุมชนโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน ได้แก่ เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมโดยชุมชน ภาครัฐ และภาคเอกชน พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชนให้โดดเด่น ได้มาตรฐาน และเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลให้มีความทันสมัย
  • รายการ
    การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กล้าณรงค์ แสนพะเยาว์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; ธนัสถา โรจนกูล
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 2) ปัจจัยที่ ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ สมาชิกชุมชนท่องเที่ยว 3 ชุมชน จำนวน 335 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้นำชุมชนหรือผู้แทนชุมชน คณะกรรมการชุมชน และสมาชิกในชุมชน จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่แนวคิดและความสามารถของคน คุณภาพชีวิตคนในชุมชน ความเข้มแข็งของชุมชนและการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ของชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ปัจจัยด้านความชัดเจนของนโยบาย ด้านศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านทรัพยากร ด้านทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ด้านการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผล ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 3. แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่า 3.1 ความชัดเจนของนโยบาย ควรกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วม ให้ชัดเจน เพื่อสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ให้แก่คนในชุมชน 3.2 ศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ควรจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว 3.3 ทรัพยากร ควรมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนผ่านเฟชบุค (Facebook) ไลน์ (Line) และเว็บไซด์ (website) ของหน่วยราชการ 3.4 ทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ควรฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจการท่องเที่ยวแก่คนในชุมชน 3.5 ชุมชนควรมีการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลความพึงพอใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีต่อกิจกรรมและบริการของท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่อไป
  • รายการ
    การบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี : กรณีศึกษา ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อนุวัฒน์ ชมภูปัญญา; ธนัสถา โรจนตระกูล; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
    วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ ปัจจัยและแนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ชุมชนบ้านวังส้มซ่า อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้ตารางคำนวณของ ทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.724 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว รองลงมาคือ เส้นทางการเข้าถึงชุมชน ด้านการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านการจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน ด้านการจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ตามลำดับ 2. ปัจจัยการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีผลต่อการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารจัดการชุมชนต้นแบบสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พบว่า แนวทางการบริหารจัดการชุมชนสู่กระบวนการขับเคลื่อนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มี 6 ข้อ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยว 2) การจัดทำแผนท่องเที่ยวของชุมชน 3) การจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว 4) ความพร้อมด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) เส้นทางการเข้าถึงชุมชน และ6) การจัดตั้งคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวชุมชน
  • รายการ
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน OTOP นวัตวิถีในเขตอําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นฤมล กุมภาพันธ์; ธนัสถา โรจนตระกูล; โชติ บดีรัฐ
    งานวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน OTOP นวัตวิถีในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 2. เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วม ที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีในเขตอําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลผ่านแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า 1.ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เรียงตามระดับค่าเฉลี่ย 3 อันดับแรก ดังนี้ ด้านการรับผลประโยชน์ ด้านการประเมินผล และด้านการดําเนินการ อยู่ในระดับมาก 2.ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วม พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ แตกต่างกันส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 และปัจจัยส่วนบุคคล อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนและระยะเวลาที่อาศัย ต่างกันส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ไม่มีความแตกต่างกัน 3. ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีในเขต อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า ปัจจัยด้านเส้นทางเดินทางท่องเที่ยวในชุมชนอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านสิ่งดึงดูดใจอยู่ในระดับมาก ปัจจัยด้านที่พักอยู่ในระดับมาก และปัจจัยด้านกิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นจุดเด่นอยู่ในระดับปานกลาง
  • รายการ
    รูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนรวมของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการ แหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) สุภาพร กลิ่นนาค; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; ประสิทธิชัย นรากรณ์
    การวิจัย เรื่อง รูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่อง เที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลก 3) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของชุมชุนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านร่องกล้า หมู่ที่ 10 ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลกที่มีอายุ 18 ขึ้นไป จ านวน 186 คน จังหวัดพิษณุโลก โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสื่อสารด้านการสื่อสารแบบบนลงล่าง ด้านการสื่อสารแบบล่างขึ้นบน ด้านการสื่อสารแบบแนวนอน ด้านการสื่อสารแบบแนวไขว้ และการมีส่วนร่วมด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ มีผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก สำหรับการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณระหว่างรูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกสามารถพยากรณ์ได้ถูกต้องร้อยละ 27.60
  • รายการ
    การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) อรวรรณ ไพโรจนวุฒิพงศ์; บุษบา หินเธาว์; พิชญาพร ประครองใจ; ธิดารัตน์ วุฒิศรีเสถียรกุล
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของคนส่วนใหญ่ในชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก และเพื่อการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและระบบสารสนเทศเพื่อประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมและประเพณีของชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยดําเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 - พฤษภาคม 2563 และใช้กระบวนการวิจัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตการอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนมีตัวแทนชุมชน ร่วมเป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทอผ้าและการประกอบอาหารพื้นถิ่น ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตวัฒนธรรมและประเพณีของคนส่วนใหญ่ในชุมชนบ้านนาเมืองเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยมีการดํารงชีวิตความสัมพันธ์ทางสังคมและความเป็นอยู่ได้รับคําแนะนําเกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมของสิบสองฮีต (เดือน) สิบสี่กงควบคุมจริยธรรมศีลธรรมและการปฏิบัติของหมู่บ้านเพื่อการดํารงอยู่อย่างสงบสุข สามารถทําได้โดยการสืบทอดวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีของชาวลาวที่บ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก 1. ระบบครอบครัว 2. ความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ 3. ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสมาชิกในชุมชน 4. ความเข้้มแข็งของวัฒนธรรม / ประเพณีที่สําคัญของชุมชน 5. ความเชื่อของพระพุทธศาสนาและมีความสัมพันธ์กับทางธรรมชาติสามรูปแบบ คือ 1. สมาชิกในครอบครัวที่เป็นปัจจัยหลักในการถ่ายทอดทางมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามพันธุกรรม 2. การเก็บรักษาข้อมูลในท้องถิ่นของนักวิชาการและผู้รู้ 3. ชุมชนวัดและสถานศึกษาที่มีส่วนร่วมในมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณีของหมู่บ้าน. รูปแบบการท่องเที่ยวบ้านนาเมืองคือ “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศิลปะประเพณีและวิถีชีวิต” โดยมีองค์ประกอบ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ (น้ําตกภูเขาทิวทัศน์โดยรอบ) ความรู้ท้องถิ่น (ผ้าทอมือบ้านนาเมือง - อาหารพื้นบ้าน) และจัดกิจกรรมท่องเที่ยว (ปั่นนจักรยานสัมผัสวัฒนธรรมชนบทชมสะพานไม้กลางทุ่งนาชมการสาธิตการทอผ้าฝากทํางานศิลปาชีพผ้าทอมือ (บ้านนาเมือง) ร่วมสืบสานประเพณีบ้านนาเมืองทดลอง ด้านการเกษตรเพาะกล้า / ล่าปู / กบพูดและกิจกรรมทําอาหารพื้นบ้านปูผัด / ผัดเผ็ดกบ) และเพื่อสร้างช่องทางการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและประเพณีของชุมชนหน้าเมือง มีการใช้กระบวนการวิจัยร่วมกับชุมชนในฐานะผู้ให้ข้อมูลหลัก ตลอดจนการออกแบบเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวร่วมกัน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึกการสนทนากลุ่มสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการการประชุมกลุ่มการสังเกตแบบสอบถามและการสํารวจแหล่งท่องเที่ยวงานเทศกาลประเพณีและวัฒนธรรมในชุมชนบ้านนาเมือง และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อใช้ข้อมูลเพื่อกําหนดโครงสร้างข้อมูลภายในเว็บไซต์และวางผังรูปแบบของหน้าเว็บได้อย่างเหมาะสม