มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
28 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร กรณีศึกษา : ตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก สุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กฤษณะ เอี่ยมสะอาด; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัย; สาคร สร้อยสังวาลย์ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพบริบทชุมชน ปัญหาความต้องการ ใช้น้ำรวมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร และตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร โดยจัดเวทีประชาคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในกรณีศึกษาได้แก่ เกษตรกรที่ปลูกพืชหลัก 5ชนิด คือ ข้าว กล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด จำนวน 300 ครัวเรือน ในเขตพื้นตำบลหนองกลับ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า ตำบลหนองกลับเป็นที่ราบลุ่ม สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าวมากที่สุด ในอดีตให้ผลคุ้มค่า แต่ภายหลังเกิดโรค แมลง ศัตรูพืชระบาด เกษตรกรจึงหันมาปลุกกล้วยไข่ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพดตามลำดับ ในด้านปัญหาเกี่ยวกับน้ำเพื่อการเกษตร เกษตรกรปลูกข้าวเป็นพืชหลัก อาศัยน้ำจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียวเพราะไม่มีแหล่งน้ำไหลผ่าน มีเพียงลำคลองสายสั้น ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ในฤดูฝนบางปีอาจมีน้ำท่วม ทำให้ใช้น้ำจากบ่อบาดาล คลอง หนอง และบึงธรรมชาติ โดยมีน้ำใช้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปี แต่ในช่วงฤดูฝน บางปีอาจถุกน้ำท่วมทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับความต้องการ และข้อเสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว มีดังนี้คือ 1. ต้องการระบบชลประทาน โดยเฉพาะคลองส่งน้ำ ที่สามารถกระจายน้ำเข้าไปในพื้นที่เพาะปลุกทั่วถึง 2. ต้องการแหล่งน้ำตามแนวทฤษฎีใหม่ โดยเฉพาะการขุดสระกักเก็บน้ำที่จะทำให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี 3. ต้องการขุดลอกคลอง หนอง และบึงธรรมชาติ ให้มีความเหมาะสม ซึ่งเป็นความต้องการของเกษตรกร ที่ปลูกกล้วยไม้ ยาสูบ แตงโม และข้าวโพด 4. ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาพัฒนาแหล่งน้ำของตนเองจะก่อเกิดประโยชน์ในหลายประการ และทำให้การดำเนินงานด้านเกษตรกรรมของชุมชนเป็นไปอย่างมีระบบมีเป้าหมาย สร้างความเป็นธรรมชาติแก่เกษตรกรผู้ใช้น้ำโดยส่วนร่วม ผลการตรวจสอบแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสนใจ และมีมติเห็นชอบกับแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสอง ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุสุมา แก้วบุรี; นิคม นาคอ้าย; สงวน ช้างฉัตรการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพในการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองและนำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก การดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 87 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ การทดสอบค่า t-test ขั้นตอนที่ 3 นำเสนอแนวทางพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลก ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ก้านทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมการขาย พบว่า ผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสองมีการดำเนินธุรกิจในภาพรวม มีสภาพการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจการค้ารถยนต์มือสองในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประสบการณ์และระดับการศึกษาของผู้ประกอบการค้ารถยนต์มือสอง พบว่าการเปรียบเทียบสภาพดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามประสบการณ์ทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำแนกตามระดับการศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม การดำเนินงานในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีด้านการส่งเสริมการขายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 3. การนำเสนอแนวทางการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาดของการค้ารถยนต์มือสองเพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและช่วยแกไขปัญหาในตลาดที่มีคู่แข่งขันสูง ซึ่งตลาดหแบบเก่าจะมีการพัฒนา ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย/ทำเลที่ตั้ง และด้านการส่งเสริมหารขาย แต่การตลาดสมัยใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาส่วนผสมทางการตลาด4P’ ควบคู่การพัฒนาสินค้า การบริการการสร้างความพึงพอใจ การบริการหลังการขายและการสร้างทัศนคติที่ดีที่ลุกค้ามีให้ผู้ประกอบการ และมีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์สินค้า ซึ่งแนวทางการพัฒนามีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) รุ่งทิพย์ จันธิราช; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัยการวิจัยในเรื่องนี้วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบปัญหาความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่ม โดยพัฒนาความรู้ ผลิตภัณฑ์และการศึกษาความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ทำวิจัยในกลุ่มผ้าทอบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยวิธีการวิจัยแบบภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังเป็นปัญหาพื้นฐานของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก และกลุ่มมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่เหมาะสมกับวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ และต้องการพัฒนาความรู้ของสมาชิกกลุ่มด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป 2. กลุ่มสมาชิกที่มีความรู้ และทักษะฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปสามารถผลิต ผลิตภัณฑ์ เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มวัยกลางคนถึงสูงอายุ เป็นเสื้อแขนสั้น คอปกเชิ้ต บ่าเรียบไม่มีอินธนู กระเป๋าเจาะไม่มีฝาปิดด้านซ้าย ชายเสื้อตัดตรงมีขอบยื่นสำหรับติดกระดุม ตัวเสื้อใช้ผ้าสีพื้น กระดุมหุ้มด้วยผ้าสีพื้น 3. ความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบผลิตภัณฑ์เสื้อสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษของกลุ่ม ทอผ้าบ้านน้ำพริก ที่เป็นรูปแบบเรียบง่าย ไม่เป็นทางการ สามารถสวมใส่ในทุกๆโอกาส โทนสีปานกลางไม่เข้มหรืออ่อนเกินไปเหมาะกับรูปร่างและผิวพรรณของแต่ละบุคคล สวมใส่แล้วสวยงามดูภูมิฐาน สุภาพเรียบร้อยเข้ากับลักษณะของกลุ่มวัยตนเอง ราคาไม่แพงเกินไป สามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปไปใช้ได้รายการ เมทาเดทาเท่านั้น กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคระกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) นพดล เหล่ากอ; ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการของคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 2 ชนิดคือ แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกทั้ง 3 กองทุน จำนวน 333 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง ดำเนินการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านจำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา นำผลการวิเคราะห์ขั้นตอนที่ 1 มาสังเคราะห์โดยอิงทฤษฎีการบริหารและหลักธรรมาภิบาล มาร่างเป็นกระบวนการบริหารจัดการกองทุน ประเมินคุณภาพกระบวนการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้าน ตามมาตรฐานการประเมินที่พัฒนา STUFFLEBEAM และคณะ โดยการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า สภาพและปัญหาของกระบวนการบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทหารอากาศ กองบิน 46 เป็นการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนบ้านพักอาศัย 4 เขต แบ่งออกเป็น 3 กองทุน การจัดตั้งกองทุน การคัดเลือกกรรมการ และการมอบหมายหน้าที่ของกรรมการ เป็นการแต่งตั้งด้านการบริหารจัดการกองทุนปัญหาอยู่ในระดับมาก คือด้านหลักการมีส่วนร่วม และด้านที่มีระดับปัญหาน้อย คือด้านหลักนิติธรรม การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการกองทุน มีการจัดตั้งกองทุนอยู่ในส่วนหน่วยงานที่ใกล้เคียงกัน มีการประชุมจัดตั้งกองทุน ซึ่งมีผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานมีการเลือกตั้งคณะกรรมการ และหมอบหมายหน้าที่ มีการประชาสัมพันธ์ตามหน่วยงาน การพัฒนาคุณภาพของกระบวนการบริหารจัดการกองทุน พบว่า ด้านอรรถประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมากรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การเปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทย โดยใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุลณีย์ บุญมี; วาสินี มีเครือเอี่ยมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน2) เปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทยของผู้เรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันและ 3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน ผลการวิจัยพบว่า 1)คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.30/92.67 และคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.10/90.93 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลการสื่อสารของกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลการสื่อสารของนักเรียนที่เรียนด้วยคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและอักษรโรมัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 4.40 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 และ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.35 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60โดยผลการจัดการเรียนการสอนและการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการทั้ง 2 วิธี อยู่ในระดับมากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรวุฒิ ด่วนเจริญศรี; พิทักษ์ อยู่มี; อนงค์นาฏ คงประชาการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการรับรู้และแนวทางเรื่องสารปนเปื้อนที่ตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการร้านค้าที่ขายสินค้าในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้า ที่ประกอบการจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ ร้านอาหาร ร้านแผงลอย ในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ ในช่วงเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมกราคม 2553 จำนวน 132 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดย วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Analysis) สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (X̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่า: 1.การรับรู้สารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางการลดสารปนเปื้อนตกค้างในอาหารของผู้ประกอบการ ได้แก่ กรรมการตลาดสดเทศบาลควรหมั่นตรวจตราการจัดวางสินค้าให้ปลอดภัย การจัดวางสินค้าให้ปลอดภัยจากพาหะของเชื้อโรค และมีอุปกรณ์ป้องกันสินค้า ไม่ให้เบื้องแต่และออง จัดให้ความรู้ในด้านกระบวนการเลือกเพ็มสินค้าที่นำมาจำหน่าย จัดให้ความรู้แก่ผู้จำหน่ายสินค้าในด้านการหมั่นสังเกตสินค้าที่ผลิตหรือจำหน่าย จัดให้ความรู้ในด้านการศึกษาถึงแหล่งผลิตสินค้าที่จำหน่ายได้มาตรฐาน จัดอบรมผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้สารปนเปื้อนในอาหารในตลาดสดเทศบาลตำบลบางระกำ สร้างความตระหนักให้ผู้ผลิตหรือจำหน่ายผลิตอาหารได้สะอาดปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายควรตรวจสอบสินค้าที่จำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ จัดระบบและการจัดเก็บสินค้าให้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน จัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารปนเปื้อนโดยภาคราชการ ภาคราชการให้ข้อมูลจากสารเกี่ยวกับสารปนเปื้อนอย่างสม่ำเสมอ มีการกำกับดูแลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในอาหาร และควรมีการกำหนดโทษปรับสำหรับอาหารที่ปนเปื้อนเกินกว่ามาตรฐานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนากลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ภิรมย์ สิทธิกมลรัตน์; ชุมพล เสมาขันธ์; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) สำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 2) พัฒนาคุณภาพ กลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด 3) ทดลองใช้กลยุทธ์โดยการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของสมาชิกก่อนและหลังการใช้กลยุทธ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2549 กับช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2550 4) ประเมินกลยุทธ์การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันบ้านกร่างพิษณุโลก จำกัด หลังการใช้กลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สมาชิกสหกรณ์รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่า t-test dependent ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กระบวนการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การสำรวจสภาพการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของสมาชิกสหกรณ์ จำนวน 231 คน 2) การกำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา 3) ทดลองใช้กลยุทธ์กับสมาชิกสหกรณ์ที่สมัครใจ จำนวน 40 คน 4) ประเมินการใช้กลยุทธ์ ซึ่งพบว่าสภาพการมีส่วนร่วมนั้น ส่วนใหญ่สมาชิกสหกรณ์ผู้ใช้น้ำมันมีความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการและวิธีการสหกรณ์ระดับน้อย ความคิดเห็นที่มีต่อสหกรณ์ในภาพรวมอยู่ในระดับน้อย กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาได้แก่ เอกสารเผยแพร่ การให้การศึกษาฝึกอบรม กำหนดกิจกรรมให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม การสนทนากลุ่ม แบ่งกลุ่มคัดเลือกผู้นำ และการกระตุ้นเตือนเป็น เวลา 3 เดือน ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้กลยุทธ์ความรู้ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์และความคิดเห็นที่มี่ต่อสหกรณ์ ในภาพรวมเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีการซื้อสินค้าจากสหกรณ์อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กัญชลิกา วงศ์กิตติรัตน์; นงลักษณ์ ใจฉลาด; ผ่องลักษมี จิตต์การุญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการจัดแสดง ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านบุคลากร และเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย จําแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษา โดยมีประชากรคือนักท่องเที่ยวชาวไทย จํานวน 5,750 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 360 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับดีทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านบุคลากร รองลงมาคือ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการจัดแสดง และด้านการประชาสัมพันธ์ ตามลําดับ 2. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งภาพรวมและรายด้าน ตํ่ากว่ากลุ่มอายุอื่นๆ
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »