มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/128
ค้นหา
39 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา สำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สลักจิต ตรีรณโอภาส; ศิริวิมล ใจงาม; เดือนใจ เกียวซีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม โดยมีการศึกษาสภาพการดำเนินงานการจัดการเรียนร่วม สร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบ ทั้งนี้ได้กำหนดแบบแผนการวิจัยเป็นการทดลองหนึ่งกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านป่าลัก (ทศพลอนุสรณ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 22 คน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่สร้างมีลักษณะสำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสร้างความตระหนักรู้ ขั้นน้อมใจสู่การพัฒนา ขั้นมุ่งหน้าลงมือปฏิบัติ และขั้นเกิดผลเชิงจิตตปัญญา หลังการใช้รูปแบบ ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการใช้ประโยชน์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 และด้านความแม่นยำค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 2. การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการสะท้อนคิดของครูจากการอบรมเพื่อพัฒนาตามขั้นตอนของรูปแบบ ครูชอบการทำสมาธิเพราะทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ความสงบและเรียนทำให้มีเวลาในการทบทวนตัวเอง การสื่อสารวงสนทนาทำให้ได้ฟังและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ประทับใจวิทยากรทุกท่านเพราะมีความเป็นกันเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูรักและผูกพันกันมากขึ้น กิจกรรมทุกโมดูลทำให้เกิดความเชื่อมั่นในอาชีพครูเพิ่มขึ้น และเห็นความสำคัญของรูปแบบที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน 2) การนิเทศติดตามระหว่างการใช้รูปแบบพบว่า หลักการสอนตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่ครูนำมาใช้มากที่สุดคือหลักความรักความเมตตา รองลงมาคือหลักการพิจารณาอย่างใคร่คราญ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมาใช้มากที่สุดคือการสร้างความสงบนิ่งด้วยสมาธิ รองลงมาคือสุนทรียสนทนา 3) การสะท้อนคิดของผู้บริหารและครูหลังใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพิ่มขึ้น พึงพอใจในรูปแบบเพราะช่วยให้เข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น สร้างความรักและสามัคคีในทีม โดยระบุว่าในเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสิทธิผล 4) การเปรียบเทียบศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาพบว่า ครูมีศักยภาพหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05)รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถ ในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ยุคลธร สังข์สอน; อารีย์ ปริติกุล; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่หมายเพื่ออพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ของนักเรียนระดบการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนาดำเนินการ4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานจากการสัมภาษณ์ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และนักเรียนโรงเรียนมาตรฐานสากลที่มีผลการปฏิบัติที่ด์จำนวน 3 โรงเรียน สัมภาษณ์ศึกษามีเทศก์และครูที่มีผลงานดีเด่น์ จำนวน 6 คน และรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร 2) สร้างและหาคุณภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ 9 ท่าน และทดลองนำร่องกับนักเรียน์จำนวน 39 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 โรงเรียนอนุบาลบางมูลนาก "ราษฎร์อุทิศ"์ จำนวน 38 คน และ4) ศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามแนวทางของโรงเรียนมาตรฐานสากล นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และแนวทางการจัดการเรียนรู้ เพื่อการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และการจัดการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 2) รูปแบบการจัดการเรียนรู้มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการจุดประสงค์ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นกระตุ้นความสนใจ 2) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 3) ขั้นค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล 4) ขั้นสร้างความรู้ใหม่ 5) ขั้นนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และสะท้อนความคิดในทุกขั้นตอน การวัดและประเมินผลใช้การประเมินตามสภาพจริงที่กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค ผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความสอดคล้องอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการทดลองนำร่อง พบว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ของรูปแบบเป็นขั้นตอน สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีค่าขนาดอิทธิพลเท่ากับ 2.29 และ4) ครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของการบริการภิวัฒน์การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือของประเทศไทย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พลอยณัชชา เดชะเศรษฐ์ศิริ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสําคัญการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็น ดิจิทัล นวัตกรรมการบริการ และผลการดําเนินงานของธุรกิจ 2) ศึกษาอิทธิพลของการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็นดิจิทัล และนวัตกรรมการบริการที่ส่งต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ และ 3) เพื่อ ทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการที่เชื่อมโยงการ บริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในภาคเหนือของประเทศไทย ผู้วิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการ คณะกรรมการบริหารหรือผู้จัดการของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือจํานวน 422 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาและสถิติอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญกับทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20) รองลงมาคือ การแปลงเป็นดิจิทัล (ค่าเฉลี่ย รวมเท่ากับ 4.06) และนวัตกรรมการบริการ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.84) ตามลําดับ สําหรับผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้าของบริษัทกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ในระดับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ เป้าหมาย (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.83) และผลการดําเนินงานทางการเงินของบริษัทกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.33 การบริการภิวัฒน์มีอิทธิพลทางตรงเซิงบวกต่อการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และต่อผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้าอย่างม นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทางการเงิน สําหรับการ แปลงเป็นดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงต่อนวัตกรรมการบริการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 แต่ ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทั้งผลการดําเนินงานทางการเงินและผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า ส่วนนวัตกรรมการบริการมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อทั้งผลการดําเนินงานทาง การเงินและผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เมื่อ พิจารณาอิทธิพลทางอ้อมและอิทธิพลโดยรวมพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานทาง การเงินมากที่สุดคือ นวัตกรรมการบริการ รองลงมาคือ การบริการภิวัฒน์ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการดําเนินงานทางการเงิน ได้ร้อยละ 10.70 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานด้านการบริการลูกค้ามากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ รองลงมาคือ นวัตกรรมการบริการ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้า ได้ร้อยละ 28.90 เมื่อพิจารณาอิทธิพลของตัวแปรคั่นกลาง คือ การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการท เชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์สู่ผลต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs พบว่า การแปลงเป็นดิจิทัลเป็น ตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มิอิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการ ดําเนินงานทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ส่วนนวัตกรรมการบริการ เป็นตัวแปร คั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มี่อิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงาน ทางการเงิน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้านการ บริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01รายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปิยะนุช พรหมประเสริฐ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร และความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และ 4) เพื่อทดสอบอิทธิพลความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 640 ราย เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 64 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน 4) แรงจูงใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 5) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 6) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 7)สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่าน 8) ความพึงพอใจในการทำงานที่เป็นตัวแปรกำกับไม่ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลเอกลักษณ์ตราสินค้าที่เป็นปัจจัยกำกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและความรักในตราสินค้าไปสู่ความภักดีในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ภัทรพนธ์ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; ประสิทธิชัย นรากรณ์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) น้อย คันชั่งทอง; สุขแก้ว คำสอน; บุญส่ง กวยเงินการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 2) พัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 3) ทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา และ 4) ประเมินผลประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา การวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ การวิจัยระยะที่ 1 การศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐในเขตภาคเหนือ จำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิจัยระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลโดยใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวิจัยคือ ประเด็นการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์ของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยระยะที่ 3 การทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 56 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 26 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม และแบบสอบถามความตระหนักรู้ต่อการไม่ลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่า t-test การวิจัยระยะที่ 4 การประเมินประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษารับรู้ว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก นักศึกษามีพฤติกรรมการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สาเหตุการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษากลิจจากภายในตัวบุคคลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ขาดทักษะด้านภาษาอังกฤษ ต้องการได้เกรด/คะแนนที่ดี และขอบความสะดวกสบาย ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 การป้องกัน องค์ประกอบที่ 2 การตระหนักรู้ และองค์ประกอบที่ 3 การสนับสนุน ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายตัวแปรปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมได้ร้อยละ 70.14, 2) แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การป้องกัน กลยุทธ์ที่ 2 การให้ความตระหนักรู้ และกลยุทธ์ที่ 3 การสนับสนุน 3) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความรู้ความใจเรื่องการออกเสียนวรรณกรรมทั้งโดยภาพรวมและรายด้านสูงกว่ามักศึกษาที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมีนัยสĞำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความตระหนักรู้ต่อการไม่ออกเสียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) แนวทางการป้องกันการลอกเสียนวรรณกรรมของนักศึกษามีประสิทธิภาพด้านความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้านรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลคั่นกลางพหุขนานของแบรนด์ที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ สู่ความตั้งใจซื้อของธุรกิจเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ณรงศ์ชัย เขียวฤทธิรัตน; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; สุรสิทธิ์ อุดมธนวงศ์การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทัศนคติต่อแบรนด์ ความไว้วางใจในแบรนด์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และความตั้งใจซื้อ 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทัศนคติต่อแบรนด์ ความไว้วางใจในแบรนด์ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ ต่อความตั้งใจซื้อและ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลคั่นกลางพหุขนานของแบรนด์ที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และอุปกรณ์สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย จํานวน 420 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างด้วย Smart PLS Version 4.0 ผลการวิจัยพบว่า 1) ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .429 ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.43 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .389 ทัศนคติต่อแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .464 ความไว้วางใจในแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .369 ภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .438 และความตั้งใจซื้อ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .451 2) ภาพลักษณ์ของแบรนด์มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อสูงที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.440 รองลงมา คือ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.238 ทัศนคติต่อแบรนด์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.187 และ ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.089 ตามลําดับ ในขณะที่ความไว้วางใจในแบรนด์ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.023 ไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้ออย่างมีนัยสําคัญ 3) ความน่าเชื่อถือของแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.104 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.319 ทัศนคติต่อแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อรับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.076 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.213 และภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.290และขอบเขตบน เท่ากับ 0.430 ซึ่งมีช่วงของความเชื่อมั่นไม่คลุม 0 แสดงให้เห็นว่าทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจซื้อผ่านตัวแปรคั่นกลางดังกล่าวในขณะที่ความไว้วางใจในแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีช่วงของความเชื่อมั่นคลุม 0 คือ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิขอบเขตล่างเท่ากับ -0.071 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.120 สมมติฐานจึงไม่มีนัยสําคัญรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พนัส นาคบุญ; อนุชา ภูมิสิทธิพร; สุขแก้ว คำสอนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ พัฒนารูปแบบ ทดลองและศึกษาผลการใช้ และประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนโสตศึกษา 11 โรงเรียน จำนวน 99 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาทดลองและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.72, SD = 0.56) และมีสภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.61, SD = 0.36) ซึ่งสรุปว่า สภาพการจัดการเรียนรู้ โดยครูในโรงเรียนโสตศึกษามีการวัดผลและประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง และ มีความคาดหวังต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น 2.คุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.75, SD = 0.26) และคุณภาพของคู่มือครูประกอบการใช้รูปแบบการจัด การเรียนรู้ฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.66, SD = 0.37) 3.ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ พบว่า ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ก่อนการทดลอง และ หลังการทดลองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.74, SD = 0.31)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครู : ศึกษากรณีนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ภาวิณี เดชเทศ; พัชราวลัย มีทรัพย์; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะ การใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ การเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบและระยะที่ 2 การทดลองใช้ รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการเรียนรู้ และ 5) การวัดและประเมินผล ผลการประเมินคุณภาพ ของรูปแบบอยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านอรรถประโยชน์ 2) ด้านความเป็นไปได้ 3) ด้านความเหมาะสม และ 4) ด้านความถูกต้อง ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( x̄ = 4.31 , S.D = .193) 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบ ตามองค์ประกอบของสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในด้านความรู้ มีค่าเฉลี่ยหลังการอบรมอยู่ที่ =14.05 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต ที่ 0.05 ในด้านทักษะ ในขั้นการทดลองสอน ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.10 และการประเมินในขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ = 1.83 การประเมินสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในขั้นตอนการนิเทศติดตาม จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 การนิเทศการสอนโดยประเมินจากคลิปวิดีโอการสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.04 ครั้งที่ 2 เป็นการนิเทศการสอนที่สถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.33 ในด้านคุณลักษณะ การวัดระดับการรับรู้ความสามารถของตนในการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ก่อนการอบรมและหลังการอบรม มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้นกว่าก่อนการอบรม ในทุกองค์ประกอบและการศึกษาผลการทบทวนหลังการปฏิบัติการ (AAR) ในทุกขั้นตอนของการใช รูปแบบทั้งหมด 4 ครั้ง