คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
7 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัส ที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) สายหยุด โตริดน์; วิราพร พงศ์อาจารย์; พวงทอง โดยวรรณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 ภายหลังการได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัส และเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัส กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ได้แก่ โรงเรียนวัดวังไม้แก่น ตำบลวังวน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 25 คน ทดลองแบบกลุ่มเดียวเพื่อศึกษาระดับความคิดสร้างสรรค์หลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์และเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการใช้สถิติทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวที่ไม่อิสระต่อกัน (Dependent sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า: 1.นักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 มีความคิดสร้างสรรค์หลังการได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัสอยู่ในระดับดีมากทั้งโดยรวมและรายกิจกรรม 2.นักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 มีความคิดสร้างสรรค์หลังการได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัสสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ประสาทสัมผัส อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กำแพงเพชร เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) ยุวธิดา บุบผาวรรณ; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ; กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 และเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์กับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 751 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ตัวแปรที่ศึกษาประกอบด้วยตัวแปรแฝง 6 ตัว ได้แก่ 1)บรรยากาศในห้องเรียนคณิตศาสตร์ 2) พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์ 3)การสนับสนุนการเรียนคณิตศาสตร์ของผู้ปกครอง 4)เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ 5)การเข้าร่วมกิจกรรมคณิตศาสตร์ของนักเรียนและ 6)ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ และแบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS ในการหาค่าสถิติพื้นฐานและใช้โปรแกรม LISREL 8.54 ในการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 มีค่าเฉลี่ยในการรวมอยู่ในระดับปานกลาง และพบว่า ตัวแปรสังเกตได้ด้านความคิดคล่องแคล่วทางคณิตศาสตร์ ด้านความคิดยืดหยุ่นทางคณิตศาสตร์ และด้านความคิดริเริ่มทางคณิตศาสตร์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง 2)โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ได้ค่าสถิติไค-สแควร์(χ²)= 98.72 (p=0.23) df= 89, GFI=.99, AGFI=.97, RMR=.03 โมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ได้ร้อยละ 66 โดยตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงต่อความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ บรรยากาศในห้องเรียนคณิตศาสตร์ มีอิทธิพลอ้อมผ่านเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์ของครูและการสนับสนุนการเรียนคณิตศาสตร์ของผู้ปกครองรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุจิตรา อิ่มกระจ่าง; เกสร กอกองงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดสุพรรณพนมทองก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ขั้นตอนที่ 2 การใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 14 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.40) ซึ่งชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.38) และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.43) มีประสิทธิภาพ ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ 1 = 83.07/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 2 = 85.19/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 3 = 86.24/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 4 = 82.01/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 5 = 84.39/80.95 2) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์โดยรวมในระดับมากที่สุด มีประสิทธิภาพร้อยละ 80.95 และ 3) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 7.29) สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 5.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลการใช้โปรแกรมพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วนัสนันท์ เกษประสิทธิ์; พัชราวลัย มีทรัพย์วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาผลการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVESMODELเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนไกรในวิทยาคมรัชมังคลาภิเษก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบทดสอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ 2) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ ใช้สถิติทดสอบที (Pair-Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบCREATIVES MODEL มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน ขั้นตอนที่ 2 การฝึกปฏิบัติเขียนและการวิพากษ์แผนการจัดการเรียนรู้ การนำไปใช้จัดการเรียนรู้ และการจัดนิทรรศการ ขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลจากผลการประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม พบว่า มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการพัฒนาศักยภาพครูเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนการอบรมและหลังการอบรม พบว่า ความรู้ความเข้าใจของครูหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม และแผนการจัดการเรียนรู้ มีความสอดคล้อง/เชื่อมโยง/ครอบคลุม/เหมาะสม มากที่สุด และ 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้จากครูผู้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ โปรแกรมการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CREATIVES MODEL เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนความคิดสร้างสรรค์หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมใจ เรือนเพ็ชร; อารีย์ ปรีดีกุลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 2. เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดังนี้ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STEM Education กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education 2. แบบทดสอบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที t-test แบบ one sample ผลการวิจัย พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 8 แผน โดยการดำเนินการกิจกรรม มี 6 ขั้นตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ดังนี้ 1. ขั้นระบุปัญหา 2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3. ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4. ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา 5. ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน 6. ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา มีผลดังนี้ 1. ค่าคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education มีความเหมาะสมมาก 2. ผลเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education ภาพรวมอยู่ในระดับมากรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ด เรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนบ้านวังแช่กลอย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วัลลี ไหวพรม; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุลการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนสะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนบ้านวันเช่าลอย อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาและแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 80.7/183.97 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ =4.28, S.D. =0.38)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Site รวมกับโครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) พรพิมล บุญส่ง; ภัชราววัลย์ มีทรัพย์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนที่เรียนในปีการศึกษา 2562 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านลานไผ่ อำเภอพรานกระบ่าย จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ และบทเรียนออนไลน์สร้างด้วยโปรแกรม Google Sites 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบผลการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์สูงกว่าร้อยละ 70 นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานในระดับมาก