คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
2 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา สำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) สลักจิต ตรีรณโอภาส; ศิริวิมล ใจงาม; เดือนใจ เกียวซีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม โดยมีการศึกษาสภาพการดำเนินงานการจัดการเรียนร่วม สร้างและศึกษาผลการใช้รูปแบบ ทั้งนี้ได้กำหนดแบบแผนการวิจัยเป็นการทดลองหนึ่งกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาคือผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านป่าลัก (ทศพลอนุสรณ์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 22 คน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาสำหรับโรงเรียนที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม พบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่สร้างมีลักษณะสำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสร้างความตระหนักรู้ ขั้นน้อมใจสู่การพัฒนา ขั้นมุ่งหน้าลงมือปฏิบัติ และขั้นเกิดผลเชิงจิตตปัญญา หลังการใช้รูปแบบ ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกรายการ โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความเหมาะสม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความเป็นไปได้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการใช้ประโยชน์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 และด้านความแม่นยำค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 2. การศึกษาผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า 1) ผลการสะท้อนคิดของครูจากการอบรมเพื่อพัฒนาตามขั้นตอนของรูปแบบ ครูชอบการทำสมาธิเพราะทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ความสงบและเรียนทำให้มีเวลาในการทบทวนตัวเอง การสื่อสารวงสนทนาทำให้ได้ฟังและรู้จักเพื่อนมากขึ้น ประทับใจวิทยากรทุกท่านเพราะมีความเป็นกันเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ครูรักและผูกพันกันมากขึ้น กิจกรรมทุกโมดูลทำให้เกิดความเชื่อมั่นในอาชีพครูเพิ่มขึ้น และเห็นความสำคัญของรูปแบบที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอน 2) การนิเทศติดตามระหว่างการใช้รูปแบบพบว่า หลักการสอนตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาที่ครูนำมาใช้มากที่สุดคือหลักความรักความเมตตา รองลงมาคือหลักการพิจารณาอย่างใคร่คราญ ส่วนกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำมาใช้มากที่สุดคือการสร้างความสงบนิ่งด้วยสมาธิ รองลงมาคือสุนทรียสนทนา 3) การสะท้อนคิดของผู้บริหารและครูหลังใช้รูปแบบพบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพิ่มขึ้น พึงพอใจในรูปแบบเพราะช่วยให้เข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมงานมากขึ้น สร้างความรักและสามัคคีในทีม โดยระบุว่าในเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีกิจกรรมที่ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้มีการนิเทศติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสิทธิผล 4) การเปรียบเทียบศักยภาพของครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาพบว่า ครูมีศักยภาพหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กันต์กนิษฐ์ วงศ์ครุฑ; อนุชา ภูมิสิทธิพรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบ สภาพ และแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดการศึกษาแบบเรียนรวม กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถด้านการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ผู้บริหารสถานศึกษา ครูการศึกษาพิเศษ ครูที่รับผิดชอบงานวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองที่สังกัดในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏในเขตภาคเหนือจำนวนทั้งสิ้น 83 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาองค์ประกอบการบริหารงานวิชาการ พบว่า องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการมี 5 องค์ประกอบ คือ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา 2. ผลการศึกษาสภาพการบริหารงานด้านวิชาการ พบว่า ในภาพรวม และรายด้าน ซึ่งได้แก่ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา มีสภาพการบริหารงานวิชาการอยู่ในระดับมาก 3. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการ พบว่า 1) ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง วางแผนงานการจัดการศึกษาภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม 2) ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา หลักสูตรควรตอบสนองต่อเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ จัดทำโครงสร้างหลักสูตรที่ชัดเจน และให้ความสำคัญกับภาคีเครือข่าย 3) ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จัดทำแผน (IEP) และแผน (IIP) ส่งเสริมให้ครูจัดการสอนที่เหมาะสมสอดคล้อง 4) ด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ควรให้ผู้ปกครอง ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม และควรขอรับการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวก และ 5) ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาในสถานศึกษา ควรให้ความสำคัญกับการเชิดชูครู พัฒนาครูให้มีความรู้ในการทำวิจัย และควรจัดทำแผนการทำวิจัย