คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 9 of 9
  • รายการ
    การจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google Site ในรายวิชาวอลเลย์บอล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กรรณิการ์ ดิษชกรร; พัชราวลัย มีทรัพย์
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google site ในรายวิชาวอลเลย์บอลของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล เจตคติต่อการเรียน และ ความพึงพอใจของนักเรียน โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึ่งได้มาจากประชากรที่ทำการทดสอบสมรรถภาพก่อนเรียนรายวิชาพลศึกษาที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย จำนวน 2 ห้อง และสุ่มแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มห้องเรียนกลับด้าน (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7) และกลุ่มปกติ (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2) จำนวนนักเรียนกลุ่มละ 42 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนปกติ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล แบบวัดเจตคติต่อการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ผลการประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอลหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มห้องเรียนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เจตคติต่อการเรียนของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.67, S.D. = .12) ความพึงพอใจของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.90, S.D. = .10)
  • รายการ
    การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วันทนา เพ็ชรผึ้ง; สกล เกิดผล
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเ กณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล (ดำรงประชาสรรค์) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แบบวัดความสามารถในการสะกดคำ เรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.83/80.88 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมใจ เรือนเพ็ชร; อารีย์ ปรีดีกุล
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 2. เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดังนี้ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STEM Education กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education 2. แบบทดสอบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที t-test แบบ one sample ผลการวิจัย พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 8 แผน โดยการดำเนินการกิจกรรม มี 6 ขั้นตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ดังนี้ 1. ขั้นระบุปัญหา 2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3. ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4. ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา 5. ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน 6. ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา มีผลดังนี้ 1. ค่าคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education มีความเหมาะสมมาก 2. ผลเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education ภาพรวมอยู่ในระดับมาก
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมบัติ ลำคำ; สุวพัชร์ ช่างพินิจ; ไพวรรณ สุตวรรค์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหา แนวทางและความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก ประชากรเป็นครูผู้สอนเด็กออทิสติก ช่วงอายุ 3-8 ปี จำนวน 57 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามที่ได้พัฒนาจากข้อมูลการสัมภาษณ์ และนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย (μ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 2) พัฒนารูปแบบการสอน โดยการสนทนาอิงผู้เชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักสหวิชาชีพ จำนวน 7 คนและประเมินคุณภาพก่อนการใช้รูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอนในกลุ่มตัวอย่างเด็กออทิสติก จ านวน 5 คน ที่ใช้แบบบันทึกปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ แบบช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล และนำเสนอด้วยกราฟ 4) การประเมินรูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 15 คน การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัญหา แนวทาง และความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรม ซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก คือ 1.1 สภาพปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติกมีภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพบปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ในกลุ่ม Lower-order repetitive behaviors (LRBs) มากกว่ากลุ่ม Higher-order repetitive behaviors (HRBs) 1.2 ปัญหาการสอนเด็กออทิสติกที่มีปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ อยู่ในระดับมาก พบว่า เด็กออทิสติกขาดสมาธิและความสนใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ รบกวนการเรียนของเพื่อน และครูผู้สอนเกิดความเครียดต่อปัญหาพฤติกรรมยึดติด ไม่ยืดหยุ่น ต่อการเปลี่ยนแปลงจนเกิดพฤติกรรมโวยวายก้าวร้าว
  • รายการ
    ผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เพื่อลดพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ธนัชพร แพงไตร; ศิริวิมล ใจงาม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ในการลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก และ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ก่อนและหลังสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเด็กออทิสติก จำนวน 3 คน อายุ 7 - 10 ปี กำลังศึกษาในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสิงห์บุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง โดยเลือกเด็กที่มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพไม่สามารถพูดสื่อสารได้ แต่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo จำนวน 5 แผน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมซ้ำ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. การสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ทำให้พฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกทั้ง 3 คน ลดลง ดังนี้ 1.1 เด็กออทิสติกคนที่ 1 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.58 1.2 เด็กออทิสติกคนที่ 2 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 45.92 1.3 เด็กออทิสติกคนที่ 3 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.90 2. หลังการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เด็กออทิสติกทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo
  • รายการ
    การพัฒนาชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ด เรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนบ้านวังแช่กลอย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วัลลี ไหวพรม; ปิยมนัส วรวิทย์รัตนกุล
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนสะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนบ้านวันเช่าลอย อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาเรื่องแรงและการเคลื่อนที่ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สะเต็มศึกษาและแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 80.7/183.97 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้สะเต็มศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ผ่านคิวอาร์โค้ดเรื่องแรงและการเคลื่อนที่โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ =4.28, S.D. =0.38)
  • รายการ
    การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล (ดำรงประชาสรรค์) อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ฉัตรญาณิน แก้วกอ; บัญชา สำรวยรื่น
    งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล (ดำรงประชาสรรค์) ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับฉลากแบบคืนที่ เพื่อเลือกห้องเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จำนวน 2ห้องเรียน ห้องเรียนละ 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 โดยด้านเนื้อหา อยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 4.84, S.D. =0.25) ด้านเทคนิค อยู่ในระดับดี (x̄=4.24, S.D.= 0.74) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ . 05 และ3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ในระดับมาก (x̄= 4.36S.D.= 0.57)
  • รายการ
    ผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) เด่นนที กองพล; สุวพัชร์ ช่างพินิจ
    การวิจัยครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษา และเปรียบเทียบผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนออทิสติกที่มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งในขณะจัดกิจกรรมในชั้นเรียน จำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ แผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง เบี้ยอรรถกร สื่อทางการมอง และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกพฤติกรรม การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบกลุ่มตัวอย่างเดี่ยว (Single Subject Design) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะก่อนใช้วิธีการจัดกระทำ ซึ่งผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมการอยู่ไม่นิ่งของนักเรียน ระยะที่ 2 จัดกระทำโดยจัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง ระยะที่ 3 สังเกตพฤติกรรมโดยไม่มีการจัดกระทำ และระยะที่ 4 จัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองอีกครั้งหนึ่งผลการวิจัยพบว่า หลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง กลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งอยู่ในระดับ ดี จำนวน 2 คน และอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 1 คน และเมื่อคิดเป็นร้อยละเปรียบเทียบกับระยะเส้นฐาน พบว่า พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนหลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองลดลงทั้ง 3 คน โดยกลุ่มเป้าหมายคนที่ 1 ลดลงร้อยละ 22.69 คนที่ 2 ลดลงร้อยละ 15.4 และคนที่ 3 ลดลงร้อยละ 30 ตามลำดับ
  • รายการ
    การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Site รวมกับโครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) พรพิมล บุญส่ง; ภัชราววัลย์ มีทรัพย์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนที่เรียนในปีการศึกษา 2562 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านลานไผ่ อำเภอพรานกระบ่าย จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ และบทเรียนออนไลน์สร้างด้วยโปรแกรม Google Sites 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบผลการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์สูงกว่าร้อยละ 70 นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานในระดับมาก