คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
26 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง เพื่อส่งเสริมความสามารถ ด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปี ที่ 5(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รักษ์สุดา หลวงใหญ่; ภานุมาศ หมอสินธ์การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการพูดของนักเรียนหลังเรียนจากเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ในรายวิชาจีนกลาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการการวิจัยได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนศิลป์ -ภาษาจีน โรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา จำนวน 25 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้เกิลคลาสรูม (Google Classroom) 2) คู่มือการใช้บทเรียนออนไลน์โดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) 3) แบบประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลาง 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 การเปรียบเทียบข้อมูลแบบ One Sample test ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.บทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ซึ่งประกอบด้วยคลิปวิดีโอการสอนเรื่องการบอกทิศทาง จ านวน 6 ตอนมีประสิทธิภาพ 81.75/80.25 ซึ่งมีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยการประเมินความสามารถด้านการพูดภาษาจีนกลางหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.20 (คะแนนเกณฑ์ 16 คะแนน) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ตามหลักการเรียนรู้ไมโครเลิร์นนิงโดยใช้กูเกิลคลาสรูม (Google Classroom) ภาพรวมอยู่ในระดับ ดี (x̄ = 4.28, S.D. = 0.59) อยู่ในระดับ มากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับวิธีการสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุภาพร ลุสีดา; ชัยวัฒน์ สิทธิรัตน์; มงคล ภูวิภิรมย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบปกติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนพิณพลราษฎร์ตั้งตรงจิตร 12 อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 62 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวักบุคลิกภาพประชาธิปไตย โดยใช้เวลา 70 นาที ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 20 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยโดยใช้เวลา 70 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทอสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t- test แบบ dependent Sample และ Independent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่ามีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์กับวิธีสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ปราณี จินดาวงษ์; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบางระก้าวิทยศึกษา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 81 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 41 คน กลุ่มควบคุม 40 คน ดำเนินการโดยการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบวัดความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 22 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยเครื่องมือเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทดสอบสมมุติฐานด้วย สถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Sample t – test) และสถิติทีแบบสองกลุ่มเป็นอิสระต่อกัน (Independent Sample t – test) ผลวิจัยพบว่า 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด ผลการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรินทร์ อ่อนกล; ช่อลัดดา ขวัญเมือง; ทองคำ บ่อคำการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนบ้านตอนจันทร์ อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และแบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการใช้สถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1.นักเรียนที่เรียนโดยการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านความรู้-ความจำ ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการนำความรู้ไปใช้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่เรียนโดยการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณในภาพรวม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านความสามารถในการสรุปอ้างอิง ความสามารถในการตระหนักถึงข้อตกลงเบื้องต้น ความสามารถในการนิรนัย ความสามารถในการตีความ และความสามารถในการประเมินข้อโต้แย้ง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถ ในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุดารัตน์ นวนวิใจ; เกสร กอกองงานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL 3) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ขั้นตอนที่ 2 การใช้แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 10 คน ทดลองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกตามขั้นตอนของเทคนิค KWDL ที่เสริมสร้างความสามารถในการอ่าน จับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และคู่มือการใช้แบบฝึกมีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.05) โดยมีประสิทธิภาพ ดังนี้ แบบฝึกที่1 = 78.00/77.00 แบบฝึกที่ 2 = 78.67/77.00 แบบฝึกที่ 3 = 79.33/77.00 แบบฝึกที่ 4 = 80.00/77 แบบฝึกที่ 5 = 81.33/77.00 (2) นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญโดยรวมในระดับมาก (ร้อยละ 77.00) และ (3) นักเรียนมีความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญหลังเรียน (x̄ = 15.4) สูงกว่าก่อนเรียน (x̄ = 10.8 ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) เลิศพันธุ์ มั่นคง; กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสื่อความสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC ก่อนและหลังเรียน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังทรายพูนวิทยา ปีการศึกษา 2551 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสื่อความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2553) บุญรักษา มั่งเกตุ; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำภาษาไทยสำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกโดยเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนคำภาษาไทย ของนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนเสริมทักษะโดยใช้แบบฝึกสอนเสริมทักษะ ก่อนสอนเสริมทักษะกับหลังสอนเสริมทักษะ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจ่าการบุญ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 ที่มีผลการสอบจุดประสงค์ด้านการเขียนสะกดคำภาษาไทย ที่สะกดคำด้วยแม่กก แม่กด แม่กน แม่กบ ไม่เผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย คู่มือการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย และ แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสะกดคำภาษาไทย จำนวน 9 แบบฝึกกับกลุ่มตัวอย่าง เป็นเวลา 20 ชั่วโมง แล้วทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 แบบฝึก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.34/94.44, 97.68/91.33, 96.00/88.89, 97.33/91.11, 92.19/86.00, 94.05/91.78, 94.84/91.56, 94.71/96.00, และ 95.00/95.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ทักษะในการเขียนสะกดคำภาษาไทย สำหรับนักเรียนสองภาษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังสอนเสริมสูงกว่าก่อนสอนเสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุจิตรา อิ่มกระจ่าง; เกสร กอกองงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams 3) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนวัดสุพรรณพนมทองก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ขั้นตอนที่ 2 การใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างมาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 14 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าคะแนนเฉลี่ย (x̄) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และ t-test (dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความเหมาะสมโดยรวมในระดับมาก (x̄ = 4.40) ซึ่งชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.38) และคู่มือการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความเหมาะสมในระดับมาก (x̄ = 4.43) มีประสิทธิภาพ ดังนี้ ชุดกิจกรรมที่ 1 = 83.07/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 2 = 85.19/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 3 = 86.24/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 4 = 82.01/80.95 ชุดกิจกรรมที่ 5 = 84.39/80.95 2) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์โดยรวมในระดับมากที่สุด มีประสิทธิภาพร้อยละ 80.95 และ 3) เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 7.29) สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (x̄ = 5.57) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมหัตถากาแฟสำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พีรเดช บุญรอด; อารีย์ ปริติกุลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. สร้างและหาคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรม หัตถากาแฟ สำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา 2. ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้หลักสูตรที่สร้างขึ้น ดังนี้ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการทำกาแฟภายหลังการฝึกอบรมกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้ารับการอบรมที่มีต่อการจัดกิจกรรมการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามที่ลงทะเบียนภาคเรียนที่ 1/2565 ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้วิธีการจับฉลากโดยใช้มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยสุ่ม จากนั้นประกาศรับสมัครนักศึกษาที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 13 คน โดยกำหนดคุณสมบัติในการเข้าร่วมการฝึกอบรมคือ ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำกาแฟแบบทำมือมาก่อน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1.หลักสูตรฝึกอบรมหัตถากาแฟสำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา 2. แผนการจัดกิจกรรมการฝึกอบรม จำนวน 3 แผน 3. แบบประเมินความสามารถในการทำกาแฟ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการฝึกอบรมฯ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test one sample ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักสูตรฝึกอบรมฯ มีองค์ประกอบ 7 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ กิจกรรมการฝึกอบรม สื่อประกอบการฝึกอบรม และการประเมินหลักสูตร โดยเนื้อหาสาระแบ่งเป็น 3 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกาแฟ หน่วยที่ 2 การจัดการกาแฟ หน่วยที่ 3 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำกาแฟแบบทำมือ โดยหลักสูตรฝึกอบรม และแผนการจัดกิจกรรมการฝึกอบรมมีคุณภาพความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ความสามารถในการทำกาแฟของนักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 108 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.04 และเมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม พบว่า ความสามารถในการทำกาแฟของนักศึกษาสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการฝึกอบรมหัตถากาแฟสำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา พบว่าในภาพรวมมีค่าอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปี ที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมใจ เรือนเพ็ชร; อารีย์ ปรีดีกุลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างและหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 2. เพื่อทดลองใช้และศึกษาผลการใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดังนี้ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ STEM Education กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 15 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education 2. แบบทดสอบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที t-test แบบ one sample ผลการวิจัย พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 8 แผน โดยการดำเนินการกิจกรรม มี 6 ขั้นตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ดังนี้ 1. ขั้นระบุปัญหา 2. ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3. ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 4. ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา 5. ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน 6. ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา มีผลดังนี้ 1. ค่าคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education มีความเหมาะสมมาก 2. ผลเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 70 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ STEM Education ภาพรวมอยู่ในระดับมาก
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »
