คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
3 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด ผลของการจัดการเรียนรู้เรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบ 4MAT ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ประจวบ ขุนทองพันธุ์; ชัยวัฒน์ สิทธิรัตน์; ปัณณธร ชัชวรัตน์การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอนุรักทรัพยากรทางธรรมชาติ หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และเพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ4MAT กับเกณฑ์ร้อยละ 65 ของคะแนนเต็ม โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนบ้านเนินขวาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ทดลองใช้เวลา 25 ชั่วโมง ทอสอบหลังเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบวัดความคิดสร้างสรรค์วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย (x) ส่วนเบี่ยงมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ4MAT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนการรู้แบบ 4MAT มีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 65 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODELรายวิชากฎหมายธุรกิจ โดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปี ที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ขรินทร์ทิพย์ รุจิชีพ; ภานุมาศ หมอสินธ์การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)สร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 2 สาขาวิชาการบัญชี ที่เรียนวิชา กฎหมายธุรกิจ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 30 คนซึ่งเลือกแบบเจาะจงจากนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 18 ชั่วโมงโดยแบ่งเป็น 7 ชุดกิจกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ ตาม MIAP MODEL รายวิชากฎหมายธุรกิจโดยโปรแกรมไมโครซอฟต์ ทีม ประกอบด้วยคำนำ คำชี้แจงโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ตาม MIAP MODEL สารบัญ คำชี้แจงสำหรับครู คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตาม MIAP MODELแบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ ใบงาน แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบโดยกิจกรรมและคู่มือมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.49, S.D.=0.56) และมีประสิทธิภาพ 82.55/82.93 และ 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีผลความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.27, S.D.=0.52)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ชฎาพร สุขสงค์; ธัญณาพร ก่องขันธ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) จำนวน 24 คน ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (x̄ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสถิติ t-test (one sample) และ t-test (Dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ ประกอบด้วยคู่มือการใช้กิจกรรม โดยมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄= 4.89 , S.D. = 0.15) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.27/83.61 2) นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้