คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 3 of 3
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สมบัติ ลำคำ; สุวพัชร์ ช่างพินิจ; ไพวรรณ สุตวรรค์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนแบบบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหา แนวทางและความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก ประชากรเป็นครูผู้สอนเด็กออทิสติก ช่วงอายุ 3-8 ปี จำนวน 57 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามที่ได้พัฒนาจากข้อมูลการสัมภาษณ์ และนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย (μ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 2) พัฒนารูปแบบการสอน โดยการสนทนาอิงผู้เชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักสหวิชาชีพ จำนวน 7 คนและประเมินคุณภาพก่อนการใช้รูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน 3) ทดลองใช้และศึกษาผลการใช้รูปแบบการสอนในกลุ่มตัวอย่างเด็กออทิสติก จ านวน 5 คน ที่ใช้แบบบันทึกปัญหาพฤติกรรมซ้ำ ๆ แบบช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล และนำเสนอด้วยกราฟ 4) การประเมินรูปแบบการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 15 คน การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัญหา แนวทาง และความต้องการจัดการปัญหาพฤติกรรม ซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก คือ 1.1 สภาพปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติกมีภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพบปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ในกลุ่ม Lower-order repetitive behaviors (LRBs) มากกว่ากลุ่ม Higher-order repetitive behaviors (HRBs) 1.2 ปัญหาการสอนเด็กออทิสติกที่มีปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ อยู่ในระดับมาก พบว่า เด็กออทิสติกขาดสมาธิและความสนใจในกิจกรรมการเรียนการสอน ปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ รบกวนการเรียนของเพื่อน และครูผู้สอนเกิดความเครียดต่อปัญหาพฤติกรรมยึดติด ไม่ยืดหยุ่น ต่อการเปลี่ยนแปลงจนเกิดพฤติกรรมโวยวายก้าวร้าว
  • รายการ
    ผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เพื่อลดพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ธนัชพร แพงไตร; ศิริวิมล ใจงาม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาผลการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ในการลดพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก และ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ก่อนและหลังสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเด็กออทิสติก จำนวน 3 คน อายุ 7 - 10 ปี กำลังศึกษาในระดับชั้นเตรียมความพร้อม ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดสิงห์บุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง โดยเลือกเด็กที่มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพไม่สามารถพูดสื่อสารได้ แต่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo จำนวน 5 แผน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมซ้ำ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. การสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo ทำให้พฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกทั้ง 3 คน ลดลง ดังนี้ 1.1 เด็กออทิสติกคนที่ 1 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.58 1.2 เด็กออทิสติกคนที่ 2 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 45.92 1.3 เด็กออทิสติกคนที่ 3 มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงร้อยละ 42.90 2. หลังการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo เด็กออทิสติกทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการสอนโดยใช้โปรแกรม Mu-Mo
  • รายการ
    ผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) เด่นนที กองพล; สุวพัชร์ ช่างพินิจ
    การวิจัยครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษา และเปรียบเทียบผลการใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองที่มีต่อพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนออทิสติก ระดับชั้นเตรียมความพร้อมของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนออทิสติกที่มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งในขณะจัดกิจกรรมในชั้นเรียน จำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ แผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง เบี้ยอรรถกร สื่อทางการมอง และเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกพฤติกรรม การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองรูปแบบกลุ่มตัวอย่างเดี่ยว (Single Subject Design) โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะก่อนใช้วิธีการจัดกระทำ ซึ่งผู้วิจัยสังเกตพฤติกรรมการอยู่ไม่นิ่งของนักเรียน ระยะที่ 2 จัดกระทำโดยจัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง ระยะที่ 3 สังเกตพฤติกรรมโดยไม่มีการจัดกระทำ และระยะที่ 4 จัดกิจกรรมตามแผนการสอนที่ใช้เบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองอีกครั้งหนึ่งผลการวิจัยพบว่า หลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมอง กลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 คน มีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งอยู่ในระดับ ดี จำนวน 2 คน และอยู่ในระดับปานกลาง จำนวน 1 คน และเมื่อคิดเป็นร้อยละเปรียบเทียบกับระยะเส้นฐาน พบว่า พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของนักเรียนหลังจากได้รับการสอนด้วยเบี้ยอรรถกรร่วมกับสื่อทางการมองลดลงทั้ง 3 คน โดยกลุ่มเป้าหมายคนที่ 1 ลดลงร้อยละ 22.69 คนที่ 2 ลดลงร้อยละ 15.4 และคนที่ 3 ลดลงร้อยละ 30 ตามลำดับ