คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
5 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลการใช้โปรแกรมส่งเสริมความสามารถในการอ่านและการเขียนของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยใช้เทคนิคการสอน STAD ร่วมกับเทคนิคการสอน TGT(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นิวัฒ บัวติ๊บ; สวนีย์ เสริมสุขการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียนที่มีต่อทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2564 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียน จำนวน 37 คน และกลุ่มควบคุมเรียนตามปกติ ไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียน จำนวน 41 คน โดยรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Design) มีการวัดผลจำนวน 3 ครั้ง คือวัดผลก่อนการทดลอง หลังการทดลองและระยะติดตามผลการทดลองโดยใช้เครื่องมือการทดลองคือแบบทดสอบการอ่านสะกดคำและการเขียนสะกดคำ ก่อนเรียน หลังเรียน และระยะติดตามผล ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ (Two-Way Repeated Measures ANOVA) ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1. ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านมีค่าเฉลี่ยคะแนนการอ่านในการสอบสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลองคำนวณค่า F-test ได้ 2.199 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .113 ซึ่งมีค่ามากกว่า .05 แสดงว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและ ระยะการทดลอง 2. ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมทักษะการเขียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนการเขียนในการสอบสูงกว่าในระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลองคำนวณค่า F-test ได้ 14.105 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .000 ซึ่งมีค่าน้อยกว่า .05 แสดงว่ามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและระยะการทดลองรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุภาพร ปรารมย์; สุขแก้ว คำสอน; สวนีย์ เสริมสุขการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล 2) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ และ 4) ประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาลการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการการพัฒนารูปแบบ 2) แบบประเมินคุณภาพมาตรฐานรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3) แบบประเมินชิ้นงานนวัตกรรม 4) แบบสอบถามการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม 5) แบบประเมินรูปแบบของอาจารย์ที่มีต่อการเรียนการสอน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 1 ของการวิจัย คือ อาจารย์พยาบาลที่สอนเกี่ยวกับนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ จำนวน 80 คน กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 2 คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 ท่าน ระยะที่ 3 และ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ผู้สอน จำนวน 4 คน นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร จำนวน 40 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ด้านการประเมินผลทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมในภาพรวม อยู่ในระดับน้อยที่สุด และระดับความต้องการในการพัฒนารูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด 2. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 ด้านเนื้อหา องค์ประกอบที่ 4 กิจกรรมการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ 5 การวัดและประเมินผล ประเมินความถูกต้องของรูปแบบอยู่ในระดับมาก กิจกรรมการเรียนการสอน“TRIPAA Model” 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ฝึกทักษะการคิด ( Thinking) ขั้นที่ 2 พิชิต ปัญหา ( Resolving) ขั้นที่ 3 พัฒนาความคิด ( Ideate Development)ขั้นที่ 4 ผลิตชิ้นงาน (Production) ขั้นที่ 5 ทำการประเมิน (Appriasal) ขั้นที่ 6 เพลิดเพลินเผยแพร่ (Advertisemenrt) คุณภาพตามมาตรฐานความเหมาะสมรูปแบบทุกด้านอยู่ในระดับมาก มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล “TRIPAA model” มีระดับการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม หลังใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย สูงกว่า ก่อนใช้รูปแบบการเรียนการสอน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และการประเมินชิ้นงานนวัตกรรมทั้งหมด พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด 4. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลของโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันและภาวะโภชนาการสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ไพลิน จารี; อนุ เจริญวงศ์ระยับการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการกับพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย และการจัดการอารมณ์และความเครียดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 2) สร้างและพัฒนาโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3) ศึกษาผลการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.1) เปรียบเทียบภาวะโภชนาการก่อน ระหว่างและหลังการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.2) เปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ ในการบริโภคอาหาร การมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียดสัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน กลุ่มตัวอย่างและเครื่องมือที่ใช้ 1) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตากเขต 1 ที่มีภาวะโภชนาการเกินเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ พฤติกรรมการบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด จำนวน 57 ข้อ ตรวจสอบคุณภาพด้วยวิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้องและค่าความเชื่อมั่น 2) โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน 3) กลุ่มตัวอย่างประชากรเป็ นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4-6 ที่มีภาวะโภชนาการเกินโรงเรียนเทศบาล 3 วัดชัยชนะสงคราม จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะโภชนาการของนักเรียน มีความสัมพันธ์ทางลบระดับสูงกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 2) ผลการประเมินความเหมาะสมโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ในภาพรวมมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะโภชนาการหลังใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน สัปดาห์ที่ 1-4 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม ไม่แตกต่างกัน ส่วนสัปดาห์ที่ 5-10 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม แตกต่างกัน และพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด สัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน แตกต่างกันรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ชุติพร เหล็กคำ; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ; สุขแก้ว คำสอนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบโมเดลการวัดคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) พัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยระยะที่ 1 ได้แก่ นักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่บกพร่องทางด้านสติปัญญา มีระดับสติปัญญา 50 - 70 อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมินระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้ค่าความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ระยะที่ 2 การพัฒนาแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และประเมินกลยุทธ์ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน และสภาพแวดล้อมภายใน/ภายนอกศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้เชี่ยวชาญในระดับผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ และหัวหน้างานวิชาการ จำนวน 8 คนเครื่องมือได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 กำหนดกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์การบริหารงานการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) จำนวน 9 คน เครื่องมือได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านโอกาส หรือ อุปสรรค ของศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมภายใน จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านจุดแข็งหรือจุดอ่อน ของศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นประเด็นของปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในของศูนย์การศึกษาพิเศษ ที่ส่งผลต่อการการยกระดับคุณภาพ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และขั้นตอนที่ 3 ประเมินคุณภาพกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษารองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น จำนวน 360 คน เครื่องมือได้แก่แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของแผนกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติ ได้แก่ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษใน ศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มี 4 องค์ประกอบ 14 ตัวชี้วัด และผลการวิเคราะห์ความกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรกขององค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า มีค่า 2 = 76.68, p = 0.12, df = 63, 2/df = 1.22, CFI = 1.00, GFI = 0.97, AGFI= 0.94, RMSEA = 0.026, SRMR= 0.034 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2. การพัฒนาแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 6 ประเด็นกลยุทธ์ได้แก่ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและโอกาสทางการศึกษา ประเด็นกลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้มีประสิทธิภาพ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 3 พัฒนาบุคลากรด้านการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษมืออาชีพประเด็นกลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ สื่อความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาและแหล่งเรียนรู้ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 5 ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้ให้มีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพของตน และประเด็นกลยุทธ์ที่ 6 สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่มีประสิทธิภาพ และ ผลการประเมินกลยุทธ์ พบว่าในภาพรวมความเป็นไปได้ของวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ ประเด็นกลยุทธ์ของแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ณกมล นกแก้ว; สุวารีย์ วงศ์วัฒนา; อนุ เจริญวงศ์ระยับการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบทักษะชีวิตของนักเรียนด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) ทดลองใช้และหาประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกระบวนการวิจัยประกอบด้วย 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ 4 ภูมิภาค ๆ ละ 3 โรงเรียน รวม 520 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินทักษะชีวิต สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าความถี่ ร้อยละและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2) ยกร่าง ตรวจสอบปรับปรุง และหาคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินคุณภาพตามมาตรฐานรูปแบบ 4 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) ทดลองใช้รูปแบบ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินทักษะชีวิตก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินทักษะชีวิตระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละและสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบ จากนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จ านวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ทักษะการตระหนักรู้และเห็นคุณค่า ในตนเองและผู้อื่น 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 3) ทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด และ 4) ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น และมีตัวชี้วัดรวมทั้งสิ้น 27 ตัวชี้วัด และโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ x² = 504.38, df. = 263, CFI = 0.963, TLI = 0.950, และRMSEA = 0.041 เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับหนึ่งของโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส จำนวน 27 ตัวชี้วัด พบว่ามีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานตั้งแต่ 0.534 - 0.761 มีค่าความเชื่อมั่นในการวัด (R2) อยู่ระหว่าง 0.285 – 0.579 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบว่าองค์ประกอบทั้ง 4 มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานอยู่ในช่วง 0.816 – 0.939 2. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ ประกอบด้วย 15 กิจกรรม 4) กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ขั้นการเรียนรู้ คือ ขั้นที่ 1 การเตรียมการเตรียมจิต ขั้นที่ 2 การเสริมสร้างกระบวนการคิด และ ขั้นที่ 3 การเชื่อมโยงในชีวิต และ 5) การวัดและประเมินผล มีคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ78.65/80.54 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 ที่ตั้งไว้ และระดับทักษะชีวิตของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญา ศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด