คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 53
  • รายการ
    การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รุ่งเรือง มั่นคำ; นงลักษณ์ ใจฉลาด
    งานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมาย 1) ศึกษาสภาพการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย 2 จำนวน 118 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาหรือครูวิชาการ รวมจำนวน 162 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) ศึกษาแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย มีดังนี้ 1. การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการวางแผนและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการปรับปรุง 2. สำหรับการพัฒนาการบริหารโครงการส่งเสริมการอ่านของสถานศึกษา ควรมีการวิเคราะห์ผลจากการประเมินในปีผ่านมา ทบทวนและปรับปรุงโดยใช้มาตรฐานโครงการอ่านออกเขียนได้ ของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) จิราภรณ์ เอมเอี่ยม; วิราพร พงศ์อาจารย์; บุญรักษ์ ดัณฑ์เจริญรัตน์; เตือนใจ เกียวซี
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาการดำเนินงานระบบช่วยเหลือและดูแลนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) บัญชา ว่องวิกย์การ; สุรชัย ขวัญเมือง; ชุมพล เสมาขันธ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก ปีการศึกษา 2550 จำนวน 495 คน จาก 495 โรงเรียน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Random Sampling) ได้จำนวนประชากรทั้งหมด 348 คน สถิติวิเคราะห์ประกอบด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน f - test ผลการวิจัยพบว่า 1.การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก โดยภาพรวมมีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายขั้นตอนพบว่า ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมการและวางแผนการดำเนินงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง 2.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีประสบการณ์ต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 3.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีขนาดของโรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 4.ผู้บริหารโรงเรียน ที่สังกัดเขตพื้นที่โรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ในขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงาน
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลก เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นันทิยา รอดเทศ; ณิรดา เวชญาลักษณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 61 แห่ง ประชากร คือ โรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 61 แห่ง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตารางเครซี่และมอร์แกน จำนวน 56 แห่ง และกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจงโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 56 คน ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพ 56 คน รวมทั้งสิ้น 112 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็ก ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกและส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลก เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) อุไรทิพย์ ชาวนา; อดุลย์ วังศรีคูณ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาการดำเนินงาน และแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 แบ่ง ออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษากลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพภายใน รวมทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ศึกษานิเทศก์ จำนวน 3 คน ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพภายใน จำนวน 3 คน รวมทั้งสิ้น 10 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ในภาพรวมมีปัญหาอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีปัญหาสูงสุด คือ ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีปัญหาต่ำสุด คือ ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ 2. แนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการศึกษา มีการตรวจสอบ ทบทวนความสอดคล้องของมาตรฐานการศึกษาและทำประชาพิจารณ์ความเหมาะสมของมาตรฐานการศึกษา มีการร่วมจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา มีการส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจ ให้กับครูในการเข้ารับการอบรมพัฒนาความสามารถด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ควรจัดประชุม ชี้แจง สร้างความตระหนัก และอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบ รายละเอียดวิธีการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรร่วมกันวางแผนระหว่างคณะกรรมการ และบุคลากรในสถานศึกษาเพื่อกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรกำหนดกรอบแนวทางการประเมินให้ชัดเจน และครอบคลุมโดยใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่มีความหลากหลาย ควรเขียนรายงานจากข้อมูลสารสนเทศที่รวบรวมจากผลการดำเนินงาน และส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และนำเสนอผลการประเมินให้รับทราบร่วมกันและควรมีการวางแผนการนิเทศติดตามกำกับอย่างเป็นระบบ
  • รายการ
    การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) มงคล มากจีน; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 2) เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวนทั้งหมด 124 โรงเรียน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบ 1 คำตอบ และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความเชื่อมั่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านที่อยู่ในระดับมากที่สุดคือ ด้านเน้นการประนีประนอม ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสูงสุด และด้านเน้นการร่วมมือ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย รองลงมา ด้านที่อยู่ในระดับมาก คือด้านเน้นการยอมให้ ด้านที่อยู่ในระดับปานกลาง คือ ด้านเน้นการหลีกเลี่ยง ด้านที่อยู่ในระดับน้อย คือ ด้านเน้นการเอาชนะ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) แนวทางที่เหมาะสมในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 (1) ด้านเน้นการเอาชนะ ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องดำเนินการทุกอย่างตามระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง (2) ด้านเน้นการร่วมมือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรทุกคน ได้ซักถามข้อข้องใจเพื่อให้บุคลากรมีความเข้าใจตรงกัน (3) ด้านเน้นการประนีประนอม ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นกลาง มีความยุติธรรม มีคุณธรรม ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง (4) ด้านเน้นการหลีกเลี่ยง ผู้บริหารสถานศึกษาต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล (5) ด้านเน้นการยอมให้ผู้บริหารสถานศึกษาให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะ และแนวคิดของบุคลากร ยอมรับฟังการแสดงความคิดเห็นของบุคลากร
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการและการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษากำแพงเพชร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วาฤทัย ภูรินิรันดร์; จารุวรรณ นาตัน
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูสหวิทยาเขตพรานลานไทร รวมทั้งสิ้น 186 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามที่มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษางานวิชาการของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า งานวิชาการของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษา 2. การศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร ในภาพรวมอยู่ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติในโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ปฐวี วรรณชัย; นงลักษณ์ ใจฉลาด
    งานวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียน ตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาในโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง สถิติที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ค่าร้อยละ(x̄) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยการบริหารของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่าปัจจัยการบริหารด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านโครงสร้างองค์การ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านนโยบาย มีการปฏิบัติภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. คุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและมีผลการพัฒนาด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติของโรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนสายรุ้ง พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกกับคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการศึกษาชาติในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) อุบลรัตน์ พรหมสกุล; สุรชัย ขวัญเมือง
    การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาการบริหารงานโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 จำนวน 242 คน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ได้แก่ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ จำนวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า: 1.ปัญหาการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ทั้ง 4 ด้าน มีปัญหาการบริหารอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มี ดังนี้ 2.1 ด้านการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ (คุณภาพผู้บริหาร) ความรับผิดชอบขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งมีแนวทางการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2.2 ด้านกายภาพ (ห้องเรียนคุณภาพ) ลดจำนวนนักเรียน/ห้อง จัดอุปกรณ์ให้พอเพียง ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมควรวางแผนการรับนักเรียน จัดงบประมาณให้เพียงพอในการปรับปรุงห้องเรียน จัดให้มีมุมความรู้เพื่อพัฒนาทักษะ 2.3 ด้านกระบวนการ (คุณภาพครู) มีการอบรมการสร้างเครื่องมือการวัดผลและประเมินผลและอบรมเทคโนโลยีให้ทันสมัย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการทำวิจัยแผ่นเดียวและสร้างแรงจูงใจในการนำการวิจัยไปใช้ รวมทั้งให้มีการนิเทศติดตามมากขึ้น 2.4 ด้านผลผลิต (คุณภาพนักเรียน) ควรมีระบบจัดนักเรียนที่เข้าศึกษาจนอย่างชัดเจน ฝึกให้นักเรียนมีจิตสาธารณะ และนักเรียนควรมีความเป็นเลิศทางวิชาการพร้อมกับคุณธรรม
  • รายการ
    แนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์ การแพรระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid19) ของผู้บริหารโรงเรียน ในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลกเขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วิภาวี พูลทวี; จารุวรรณ นาตัน
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ของผู้บริหารโรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 50 โรงเรียน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครจซี่และมอร์แกน สุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย จำนวน 44 โรงเรียน โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนคณะกรรมการสถานศึกษา ประกอบไปด้วย ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้แทนครู และผู้แทนผู้ปกครอง รวมจำนวน 220 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามที่มีลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเขียนเชิงบรรยายประกอบการอภิปรายผล ผลการวิจัยพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ของผู้บริหารโรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุดและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านการส่งต่อ อยู่ในระดับมาก