คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
44 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) วิลาวัลย์ ประทุมวงศ์; สธน โรจตระกูล; ลำยอง สำเร็จดีการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 66 แห่ง แห่งละ 3 คน ประกอบด้วย นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน และปลัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 66 คน รวมทั้งสิ้น 198 คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีค่า Reliability เท่ากับ .95 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้ข้อมูลกลับคืนมา จำนวน 183 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 92.42 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยการหาค่าที่ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว จากนั้นทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1.ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก มีความคิดเห็นต่อความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านงบประมาณมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการวางแผน และต่ำสุด ได้แก่ ด้านบุคลากร 2.ผลการเปรียบเทียบความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปร ดังนี้ 2.1จำแนกตามประเภทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาพรวมไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารเทศบาลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ส่วนผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านการวางแผน และด้านบริหารจัดการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2จำแนกตามประสบการณ์การบริหารงาน ภาพรวมและทุกด้านไม่แตกต่างกัน โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานน้อยกว่า 5 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงาน 5 – 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และผู้บริหารที่มีประสบการณ์การบริหารงานมากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากด้วยเช่นเดียวกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ปัญหาและแนวทางตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเอง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ธีรวัฒน์ ถาวรโชติ; นิคม นาคอ้ายการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นแยกแต่ละอำเภอ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานแบบโรงเรียนเป็นฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา 4 มาตรฐาน ได้แก่ 1) มาตรฐานอิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ 2) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล 3) มาตรฐานมีอิสระในการบริหารจัดการการเงิน และ 4) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จำนวน 47 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1.ปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า มีปัญหา อยู่ในระดับน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานรายมาตรฐาน ทั้ง 4 มาตรฐาน ก็พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 2.1 แนวทางในมาตรฐานที่ 1 อิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล รายชั้นเรียน และโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ และกำหนดโครงการกิจกรรม/กิจกรรมการพัฒนา กำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการดำเนินงาน มีการนิเทศติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิ์และผลการพัฒนา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ และสรุปและรายงานผล เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา 2.2 แนวทางในมาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล โรงเรียนควรมีการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงเรียน โดยคำนึงถึงความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดส่งบุคลากรเข้ารับการพัฒนาความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการและงานที่รับผิดชอบ จัดให้ผู้สอนสอนให้ตรงกับวิชาเอก และกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน สรุปประเมินและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และรายงานผลการดำเนินงาน 2.3 แนวทางในมาตรฐานที่ 3 มีอิสระในการบริหารจัดการเงิน แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรายงานผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ และรายงานต่อสาธารณชน 2.4 แนวทางในมาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จัดระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของเขตพื้นที่ สามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานศึกษาอื่นๆ มีการประสานและสัมพันธ์ชุมชนโดยการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร การบริการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่สาธารณชน และให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสรุปและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการประสานงานต่อไปรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัย ในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2558) เดือนเพ็ญ ไชยพรพัฒนา; ณิรดา เวชญาลักษณ์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน 2) ด้านการจัดการเรียนการสอน และ 3) ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 31 คน และครู จำนวน 201 คน รวม 232 คน โดยเลือกผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหมดและการสุ่มแบบชั้นภูมิ โดยกำหนดสัดส่วนตามสถานศึกษาของครู สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ในแต่ละสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร ภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต1 และเขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) พรชนก ต่ายหัวดง; เอื้อมพร หลินเจริญ; จุมพต ขำสีระการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการ ของ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายองค์ประกอบโดยสกัดองค์ประกอบหลักและแกนหมุนแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกช์ ผลการวิจัยพบว่าสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานกลุ่มวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการบริหารข้อมูลและสารสนเทศ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานวัดผลประเมินผลการเรียน การประเมินผลงานทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาองค์กร การนิเทศภายใน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารการเรียนการสอน การบริหารกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนางานวิชาการและการบริหารทรัพยากรทางวิชาการตามลำดับ โดยที่ทั้ง 11 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายควาแปรปรวนของสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการได้ร้อยละ 71.642รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ปริญดา อ่อนด้วง; นิคม นาคอ้ายงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คน และครูผู้สอน 290 คน รวมทั้งหมดจำนวน 322 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ผลการวิจัยพบว่า 1.ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 พบว่าในภาพรวมมีระดับภาวะผู้นำอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการสร้างจุดเชื่อมต่อ รองลงมาคือ ด้านเป้าหมายเชิงจริยธรรม และค่าเฉลี่ยสำคัญคือ การสร้างและแบ่งปันความรู้ 2.ผลการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 เมื่อพิจารณาในภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับที่ดี เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มาตรฐานด้านการจัดการศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด อันดับรองลงมาคือ มาตรฐานด้านมาตรการ และอันดับสุดท้ายคือ มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน ตามลำดับ 3.ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และมีความสัมพันธ์เชิงบวก เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์เป็นรายด้าน พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา ความสัมพันธ์ในระดับรองลงมาคือ การสร้างความสัมพันธ์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา ส่วนความสัมพันธ์ลำดับสุดท้ายคือ การสร้างจุดเชื่อมต่อ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลการประกันคุณภาพการศึกษา 4.แนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับผลการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ด้านเป้าหมายเชิงจริยธรรม ผู้บริหารมีการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ลด ละ เลิก อบายมุข ด้านความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารมีการเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จะเกิดขึ้น มีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ และมีการส่งเสริมแนวคิดใหม่ๆในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ด้านการสร้างความสัมพันธ์ ผู้บริหารมีการสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมงาน มีการยกย่องชมเชย การให้รางวัล มีการสร้างบรรยากาศการดำเนินงาน มีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง และมีความห่วงใย เอื้ออาทรแก่ผู้ร่วมงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุธรรม ลังการ์พินธุ์; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต2 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานบริหารทั่วไป ครูที่ปฏิบัติหน้าที่งานธุรการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 337 คนซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย (x) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)และสถิติการทดสอบค่าเอฟ( F –test ) ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไปโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบสภาพและปัญหาในการดำเนินงานบริหารทั่วไปของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2 พบว่า สภาพและปัญหาการดำเนินงานบริหารทั่วไป จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สมบัติ ตาเกลี้ยง; สมหมาย อ่ำดอนกลอย; นงลักษณ์ ใจฉลาดการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มี 2 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร จำนวน 294 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร โดยการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา รวมทั้งสิ้น 5 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน 2.การศึกษาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของคณะกรรมการสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดพิจิตร มีดังนี้ 2.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมและมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสม และให้ความเห็นชอบมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา และควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทบทวนมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อสร้างความตระหนัก และระดมสมองในการกำหนดกลยุทธ์ตัวชี้วัดความสำเร็จ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 2.3 ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ควรเน้นการมีส่วนร่วมให้ครอบคลุมกระบวนการ 2.4 ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา เพื่อติดตามการดำเนินงานของสถานศึกษาตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และควรส่งเสริมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเสนอโครงการ อนุมัติโครงการ 2.5 ด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถานศึกษา มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาต่อชุมชน 2.6 ด้านการประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ควรมีการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ โดยผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาปฐมวัย 2.7 ด้านการรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายใน ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจ มีการนำเสนอแนวทางการจัดทำรายงานคุณภาพการศึกษาประจำปีของสถานศึกษาให้คณะกรรมการสถานศึกษาได้รับทราบ เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ มีการชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์ซึ่งจะช่วยกระตุ้นคณะกรรมการสถานศึกษาปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน 2.8 ด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ควรมีการพัฒนาตนเองของครู มีการประชุมตั้งคณะกรรมการจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันวางแผนการตรวจสอบทบทวนคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการนำผลการประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานของสถานศึกษาให้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี สังกัดสำนักงานขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กมล สุมาลา; เตือนใจ เกียวซี; วิราพร พงศ์อาจารย์วิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษา ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต2 เป็นการวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการคุณภาพการศึกษาด้านการจัดการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีความเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม(participation Action Research : PAR) เพื่อสร้างองค์ความรู้ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือการศึกษาบริบท การพัฒนาระบบ การทดลองใช้ระบบและการประเมินระบบการบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบ แบบประเมิน แบบสังเกต และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สังเกต สัมภาษณ์ จัดสนทนากลุ่มและสอบถามความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์ทางสถิติ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1. ด้านสภาพและปัญหาในการบริหารจัดการ พบว่า โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคีมีสภาพปัญหาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ ความสามารถด้านการวิเคราะห์ การอ่าน การเขียนอยู่ในระดับต่ำ ขาดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่กล้าแสดงออก ก้าวร้าว ครูขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน และการทำวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 2. โรงเรียนบ้านใหม่สามัคคีได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการ โดยนำหลักการบริหารคุณภาพของเดมมิ่ง อันประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักที่สำคัญ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุงการดำเนินงานมาใช้ในการดำเนินงาน 3. ระบบบริหารจัดการคุณภาพการศึกษา ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ทำให้โรงเรียนมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ช่วยให้ดำเนินงานประสบความสำเร็จ บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ ได้รับความรู้ที่จำเป็นต่อวิชาชีพครู มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานนักเรียนได้รับส่งเสริมการพัฒนาและแก้ปัญหา ทั้ง 5 ด้านคือ ด้านการเรียน ด้านร่างกาย ด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม ด้านเศรษฐกิจและด้านการคุ้มครองเป็นผลให้นักเรียนมีความสุขในการเรียนกล้าแสดงความคิดเห็น กระตือรือร้น และได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งโรงเรียนรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัญหาการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพบูลย์ มันดะสูตร; เดือนใจ เกียรชี; พวงทอง ไสยวรรณ์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาและสาเหตุของปัญหาการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน 12 มาตรฐานของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มประชากรเป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่เปิดทำการสอนตั้งแต่อันปฐมวัยถึงช่วงชั้นที่ 3 ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 138 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามให้เลือกสภาพที่เป็นปัญหาจากมากที่สุดลงมา และปลายเปิดให้ระบุสาเหตุของปัญหา และเพิ่มการสัมภาษณ์ซ้ำเพื่อการตรวจสอบยืนยันสาเหตุของปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีเรียงลำดับโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มีปัญหาในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพอันดับแรก ในเรื่องการจัดกิจกรรมที่ครอบคลุมด้านการเรียนการสอน กิจกรรมเสริมตลอดจนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อพัฒนาการรอบด้านของครู ผู้เรียนและชุมชนซึ่งมีสาเหตุมาจาก การไม่เห็นความสำคัญของงานวิชาการและไม่มีความสามารถในการสร้างผลงานทางวิชาการ ปัญหาอันดับสองในเรื่อง ผู้บริหารใช้อำนาจสั่งการให้ปฏิบัติตามแผน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ผู้บริหารเป็นผู้สั่งการมากกว่าการทำงานเป็นทีม ขาดการประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กรเพื่อนำไปปรับปรุงการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดผลที่ถาวร ปัญหาอันดับสามในเรื่อง การร่วมกันเผยแพร่การใช้นวัตกรรมการบริหารที่ได้ผลแล้วด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ขาดบุคลากรชำนาญการเฉพาะในเรื่องการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และผู้บริหารขาดความรู้ความเข้าใจและการเลือกใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) วิษณุ สร้อยมี; เดือนใจ เกียวซี; สมหมาย อ่ำดอนกลอยการวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายศึกษาการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของสถานศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พิษณุโลก เขต 2 จำนวน 108 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในครั้งนี้ คือ แบบสอบถามการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ยและ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในภาพรวมพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา การปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ในทุกด้านตามลำดับ ดังนี้ 1.ด้านการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2.ด้านการวางแผนการปฏิบัติงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3.ด้านการตรวจสอบประเมินผลระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 4.ด้านการปรับปรุงระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน