คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
23 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลก เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) อุไรทิพย์ ชาวนา; อดุลย์ วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาการดำเนินงาน และแนวทางการพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 แบ่ง ออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษากลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 92 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพภายใน รวมทั้งสิ้น 276 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน ศึกษานิเทศก์ จำนวน 3 คน ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพภายใน จำนวน 3 คน รวมทั้งสิ้น 10 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัญหาการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ในภาพรวมมีปัญหาอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีปัญหาสูงสุด คือ ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ด้านที่มีปัญหาต่ำสุด คือ ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ 2. แนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการศึกษา มีการตรวจสอบ ทบทวนความสอดคล้องของมาตรฐานการศึกษาและทำประชาพิจารณ์ความเหมาะสมของมาตรฐานการศึกษา มีการร่วมจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา มีการส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจ ให้กับครูในการเข้ารับการอบรมพัฒนาความสามารถด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ควรจัดประชุม ชี้แจง สร้างความตระหนัก และอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบ รายละเอียดวิธีการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ควรร่วมกันวางแผนระหว่างคณะกรรมการ และบุคลากรในสถานศึกษาเพื่อกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ควรกำหนดกรอบแนวทางการประเมินให้ชัดเจน และครอบคลุมโดยใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่มีความหลากหลาย ควรเขียนรายงานจากข้อมูลสารสนเทศที่รวบรวมจากผลการดำเนินงาน และส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และนำเสนอผลการประเมินให้รับทราบร่วมกันและควรมีการวางแผนการนิเทศติดตามกำกับอย่างเป็นระบบรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการและการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษากำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วาฤทัย ภูรินิรันดร์; จารุวรรณ นาตันการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครูสหวิทยาเขตพรานลานไทร รวมทั้งสิ้น 186 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามที่มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษางานวิชาการของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า งานวิชาการของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษา 2. การศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า ระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพรานลานไทร ในภาพรวมอยู่ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับการบริหารแบบมีส่วนร่วมของสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพรานลานไทร พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) อุบลรัตน์ พรหมสกุล; สุรชัย ขวัญเมืองการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาการบริหารงานโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 จำนวน 242 คน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ได้แก่ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ จำนวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า: 1.ปัญหาการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ทั้ง 4 ด้าน มีปัญหาการบริหารอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มี ดังนี้ 2.1 ด้านการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ (คุณภาพผู้บริหาร) ความรับผิดชอบขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งมีแนวทางการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2.2 ด้านกายภาพ (ห้องเรียนคุณภาพ) ลดจำนวนนักเรียน/ห้อง จัดอุปกรณ์ให้พอเพียง ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมควรวางแผนการรับนักเรียน จัดงบประมาณให้เพียงพอในการปรับปรุงห้องเรียน จัดให้มีมุมความรู้เพื่อพัฒนาทักษะ 2.3 ด้านกระบวนการ (คุณภาพครู) มีการอบรมการสร้างเครื่องมือการวัดผลและประเมินผลและอบรมเทคโนโลยีให้ทันสมัย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการทำวิจัยแผ่นเดียวและสร้างแรงจูงใจในการนำการวิจัยไปใช้ รวมทั้งให้มีการนิเทศติดตามมากขึ้น 2.4 ด้านผลผลิต (คุณภาพนักเรียน) ควรมีระบบจัดนักเรียนที่เข้าศึกษาจนอย่างชัดเจน ฝึกให้นักเรียนมีจิตสาธารณะ และนักเรียนควรมีความเป็นเลิศทางวิชาการพร้อมกับคุณธรรมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น แนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์ การแพรระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid19) ของผู้บริหารโรงเรียน ในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลกเขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วิภาวี พูลทวี; จารุวรรณ นาตันการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ของผู้บริหารโรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 50 โรงเรียน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง เครจซี่และมอร์แกน สุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย จำนวน 44 โรงเรียน โดยมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนคณะกรรมการสถานศึกษา ประกอบไปด้วย ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้แทนครู และผู้แทนผู้ปกครอง รวมจำนวน 220 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามที่มีลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเขียนเชิงบรรยายประกอบการอภิปรายผล ผลการวิจัยพบว่า การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ของผู้บริหารโรงเรียนในเขตอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุดและด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือด้านการส่งต่อ อยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพโรจน์ วัฒนวงศ์สุโข; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและปัญหาในการดำเนินงานบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ และด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลทางการเรียน ของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 2 และเพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหา โดยจำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2548 จำนวน 405 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมารค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย(x) ต่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติกี่ทดสอบค่าเอฟ(F-test) ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารวานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ รองลงมาได้แก่ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพการดำเนินการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับน้อย และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตำแหน่ง และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวม ด้านหลักสูตรสถานศึกษา และด้านการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจำแนกตามตำแหน่ง พบว่าในภาพรวม ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า บุคลากรทางการศึกษาที่สังกัดสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วันชัย พฤกษะวัน; สุรชัย ขวัญเมือง; วีรพงษ์ อินร์ทอง; อดุล วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ใน 7 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานและความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 206 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามลักษณะเป็นเลือกตอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีความเห็นโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปน้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณความพร้อมด้านการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต และความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามลำดับ ส่วนครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปย้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการบริหารงานทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในและความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ตามลำดับรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาการบริหารการศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนบ้านพบพระ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุภัสสรา เทียมแก้ว; นิคม นาคอ้ายการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ประธากร คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 รวมจํานวนทั้งสิ้น 65 คน โดยใช้ประชากรทั้งหมดเป็นผู้ให้ข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาจากกลุ่มตัวอย่าง โดยผลการวิจัยพบว่า 1.ปัญหาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ในแต่ละองค์ประกอบ อยู่ในระดับน้อย 2.แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาในสถานการณ์วิถีใหม่ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 มีดังนี้ 1) ส่งเสริมและพัฒนาครูให้เต็มศักยภาพ 2) ให้ครูเข้ารับการฝึกอบรมอยู่เสมอ 3) มีแบบแผน วิธีการที่ชัดเจน สอดคล้องกับบริบท 4) การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5) จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และจัดเตรียมระบบสารสนเทศให้มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ณัฐณพัชร์ กลิ่นใจ; นงลักษณ์ ใจฉลาดงานวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยมีประชากร คือ ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลงานบัณฑิตศึกษาคณะที่เปิดสอนระดับบัณฑิตศึกษา จำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและรองคณบดีฝ่ายวิชาการหรือผู้มีประสบการณ์ด้านบัณฑิตศึกษาไม่ต่ำกว่า 4 ปี จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ศึกษาสภาพปัญหาการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ในภาพรวมพบว่า มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีปัญหาสุงสุด คือ ด้านจัดการหลักสูตร และด้านที่มีปัญหาต่ำสุด คือ ด้านค่าใช้จ่ายในการศึกษา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ในภาพรวม พบว่า มีแนวทางในการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านหลักสูตรมีแนวทางดังนี้ 1) ควรมีการทบทวนในการพัฒนาหลักสูตรตามรอบระยะเวลาของหลักสูตร 2) ควรให้มีหน่วยงานที่สามารถดูแลหรือรับผิดชอบด้านระดับบัณฑิตศึกษาโดยตรง 3) ควรให้มีบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับทางด้านบัณฑิตศึกษาโดยตรง 4) ควรการวางแผนอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตรเพื่อระดมพลังสมองเกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตรรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ปัญหาและแนวทางตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเอง ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ธีรวัฒน์ ถาวรโชติ; นิคม นาคอ้ายการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาปัญหาและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างาน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie และ Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นแยกแต่ละอำเภอ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 246 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานแบบโรงเรียนเป็นฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา 4 มาตรฐาน ได้แก่ 1) มาตรฐานอิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ 2) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล 3) มาตรฐานมีอิสระในการบริหารจัดการการเงิน และ 4) มาตรฐานอิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จำนวน 47 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1.ปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า มีปัญหา อยู่ในระดับน้อยที่สุด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินงานรายมาตรฐาน ทั้ง 4 มาตรฐาน ก็พบว่า มาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย และมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2. แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานด้านการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการตนเองในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 2.1 แนวทางในมาตรฐานที่ 1 อิสระและศักยภาพในการบริหารจัดการด้านวิชาการ โรงเรียนควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล รายชั้นเรียน และโรงเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพ และกำหนดโครงการกิจกรรม/กิจกรรมการพัฒนา กำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวง มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการดำเนินงาน มีการนิเทศติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยใช้การประเมินผลสัมฤทธิ์และผลการพัฒนา กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างเป็นระบบ และสรุปและรายงานผล เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา 2.2 แนวทางในมาตรฐานที่ 2 อิสระและอำนาจการตัดสินใจในการบริหารงานบุคคล โรงเรียนควรมีการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงเรียน โดยคำนึงถึงความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดส่งบุคลากรเข้ารับการพัฒนาความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการและงานที่รับผิดชอบ จัดให้ผู้สอนสอนให้ตรงกับวิชาเอก และกำหนดแผนการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน สรุปประเมินและติดตามผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และรายงานผลการดำเนินงาน 2.3 แนวทางในมาตรฐานที่ 3 มีอิสระในการบริหารจัดการเงิน แต่งตั้งคณะกรรมการทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีการรายงานผลเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ และรายงานต่อสาธารณชน 2.4 แนวทางในมาตรฐานที่ 4 อิสระและอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป จัดระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของเขตพื้นที่ สามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานศึกษาอื่นๆ มีการประสานและสัมพันธ์ชุมชนโดยการนำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร การบริการประชาสัมพันธ์เชิงรุกแก่สาธารณชน และให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสรุปและนำข้อมูลมาใช้เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการประสานงานต่อไปรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การศึกษาสภาพและแนวทางการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนในเครือข่ายแก่งสารจิตร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วรุฒ พวงพันธ์; จารุวรรณ นาตันการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียนในเครือข่ายแก่งสารจิตร 2) ศึกษาแนวทางการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน ในเครือข่ายแก่งสารจิตร การวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากกลุ่มประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูของโรงเรียนในเครือข่ายแก่งสารจิตร รวมทั้งสิ้นจ านวน 84 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสนทนากลุ่ม ผลการวิจับพบว่า 1. สภาพการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน ในเครือข่ายแก่งสารจิตร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. แนวทางในการบริหารงานพัสดุของโรงเรียน ในเครือข่ายแก่งสารจิตร ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานพัสดุควรด าเนินการดังนี้ 1) ด้านการเก็บ การบันทึก การเบิกจ่าย จะต้องมีการลงบัญชีหรือทะเบียน เพื่อควบคุมพัสดุ แยกเป็นชนิด และแสดงรายการโดยให้มีหลักฐานการรับเข้าบัญชี 2) ด้านการยืม การยืมพัสดุทุกครั้ง ผู้ยืมต้องทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงเหตุผล และกำหนดวันส่งคืน ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็นผู้อนุมัติในการยืมพัสดุทุกครั้ง 3) ด้านการบำรุงรักษา การตรวจสอบ มีการตรวจสอบพัสดุทุกครั้งเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว หากตรวจสอบพัสดุแล้วพบว่าพัสดุชำรุด เสียหาย ให้ดำเนินการซ่อมบำรุงให้กลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน อยู่ตลอดเวลา และ 4) ด้านการจำหน่ายพัสดุ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในการจำหน่ายพัสดุที่ชัดเจน ไม่ควรเปลี่ยนผู้รับผิดชอบบ่อย ผู้บริหารควรให้ความสำคัญ มีการกำกับดูแล และติดตามการจำหน่ายพัสดุอย่างเคร่งครัด
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »