คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 15
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พิษณุโลก เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นันทิยา รอดเทศ; ณิรดา เวชญาลักษณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการดำเนินการประกันคุณภาพภายใน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 61 แห่ง ประชากร คือ โรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 จำนวน 61 แห่ง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตารางเครซี่และมอร์แกน จำนวน 56 แห่ง และกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจงโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 56 คน ครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพ 56 คน รวมทั้งสิ้น 112 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็ก ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการดำเนินการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกและส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิชาการ กับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) นิศามณี พงพันธ์; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงวิชาการของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงวิชาการกับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 ประชากร คือสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 132 แห่ง กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามหน่วยการสุ่มสถานศึกษา โดยใช้ตารางประมาณค่าของเครจซี่มอร์แกน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 103 แห่ง ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 103 คน และครูผู้สอนในสถานศึกษาจำนวน 103 คน รวมทั้งสิ้น 206 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามจำนวน 68 ข้อ 3 ตอน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงวิชาการภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำเชิงวิชาการด้านการจัดการเรียนการสอนสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการกำหนดภารกิจของโรงเรียน ลำดับสุดท้ายคือ ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร 2) ผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินการประกันคุณภาพภายในด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ ลำดับสุดท้ายคือ ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษา และ 3) ภาวะผู้นำเชิงวิชาการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ฐาณมาศ บู่สี; ณิรดา เวชญาลักษณ์
    การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาบทบาทการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ และเปรียบเทียบบทบาทการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำนวน 123 แห่ง โดยผู้ให้ข้อมูลประกอบไปด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 97 คน และครูผู้สอน 97 คน รวมผู้ให้ข้อมูล 194 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1.การศึกษาบทบาทการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 ทั้ง 4 ด้าน พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา รองลงมาคือ ด้านการนิเทศการสอน ด้านการวางแผนการจัดการเรียนการสอน และด้านการจัดหาสื่อ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกตามลำดับ 2.การเปรียบเทียบบทบาทการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) หนึ่งฤทัย มากก้อน; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาพอเพียง 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษาพอเพียง และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ประชากรคือ สถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 142 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาพอเพียงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 104 แห่ง ได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางประมาณค่ากลุ่มตัวอย่างของเครจซี่มอร์แกน ใช้วิธีสุ่มแบ่งชั้นโดยใช้อำเภอเป็นชั้นในการสุ่ม จากนั้นทำการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ทักษะภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพอเพียง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกและส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สันติภาพ ปรากฎวงศ์; อดุลย์ วังศรีคูณ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ประชากร คือ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 127 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 97 แห่ง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลโรงเรียนละ 2 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และ ครู รวมทั้งสิ้น 194 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ในภาพรวมมีระดับการปฏิบัติมาก 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 พบว่าผู้บริหารสถานศึกษาควรดำเนินการดังนี้ 1) ภาพรวม ควรมีการสนับสนุนและส่งเสริมการอบรม สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ 2) ด้านความคิดความเข้าใจในระดับสูง ควรอบรมผู้บริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้องหลาย ๆ ฝ่ายเกี่ยวกับสารสนเทศที่จำเป็น 3) ด้านความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่าง ๆ มากำหนดกลยุทธ์ ควรมีการวางแผนบริหารจัดการและจัดลำดับความสำคัญของการทำงานโดยอาศัยการเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดในปีที่ผ่านมา 4) ด้านความคาดหวังและสร้างโอกาสสำหรับอนาคต ควรเป็นนักวางแผนปรับและประยุกต์วิเคราะห์ กำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ให้แก่องค์กรและนำเอากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย 5) ด้านวิธีการคิดเชิงปฏิวัติ ควรมีการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาปรับใช้ในสถานศึกษาเพิ่มมากขึ้นบูรณาการและสามารถเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 6) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ ควรประชุมรับฟัง ความคิดเห็นของคณะครูเปิดโอกาสและขอความคิดเห็นยอมรับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ของสถานศึกษา
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ภัทรชัย เครือกนก; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างเป็นครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก การวิจัยเชิงสำรวจโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 135 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วย 1) ด้านความเป็นผู้นำ 2) ด้านวิชาการ 3) ด้านคุณธรรม 4) ด้านบุคลิกภาพ 5) ด้านความสามารถในการบริหาร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาในครั้งนี้ ทำให้ได้ข้อมูลคุณลักษณะของผู้บริหารตามความคาดหวังของครูศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิษณุโลก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยในอันดับสูงสุด คือ ด้านความเป็นผู้นำซึ่งอยู่ในระดับมาก รองลงมาด้านคุณธรรมอยู่ในระดับมาก อันดับที่สามด้านความสามารถในการบริหารอยู่ในระดับมาก อันดับสุดท้ายด้านบุคลิกภาพอยู่ในระดับมาก
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต1 และเขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) พรชนก ต่ายหัวดง; เอื้อมพร หลินเจริญ; จุมพต ขำสีระ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการ ของ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 และเขต 2 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 190 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายองค์ประกอบโดยสกัดองค์ประกอบหลักและแกนหมุนแบบออโธกอนอลด้วยวิธีวาริแมกช์ ผลการวิจัยพบว่าสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตรเขต 1 และเขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถภาพในการบริหารงานกลุ่มวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการบริหารข้อมูลและสารสนเทศ การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานวัดผลประเมินผลการเรียน การประเมินผลงานทางวิชาการ การวิจัยและพัฒนาองค์กร การนิเทศภายใน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การบริหารการเรียนการสอน การบริหารกิจกรรมทางวิชาการ การพัฒนางานวิชาการและการบริหารทรัพยากรทางวิชาการตามลำดับ โดยที่ทั้ง 11 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายควาแปรปรวนของสมรรถภาพในการบริหารงานวิชาการได้ร้อยละ 71.642
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) นาราภัทร แซ่หว้า; ณิรดา เวชญาลักษณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 จำนวน 113 แห่ง จากตารางของเครจซี่และมอร์แกน นำมาเทียบสัดส่วนกำหนดผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การสื่อสารยุคดิจิทัล และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ การพัฒนาสู่ความเป็นมืออาชีพทางดิจิทัล การส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การส่งเสริมทักษะการคิดเชื่อมโยง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ การส่งเสริมทักษะการร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครู โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวก อยู่ในระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาด้านการสื่อสารยุคดิจิทัลมีความสัมพันธ์สูงสุดกับการส่งเสริมทักษะการคิดเชิงนวัตกรรมของครูในทุกด้าน
  • รายการ
    การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สินาภรณ์ บุญเลิศฤทธิ์; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ประสิทธิผลของโรงเรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จำนวน 97 แห่ง ได้มาจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน นำมาสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุมแบบแบ่งชั้น กำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูวิชาการในสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับและแบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสิทธิผลของโรงเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในการเสริมสร้างประสิทธิผลของโรงเรียน คือสร้างความตระหนักให้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นความสำคัญและความจำเป็นของดิจิทัล ส่งเสริมพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาองค์ความรู้ด้านการสื่อสารการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลที่หลากหลาย
  • รายการ
    การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กานดา กันฉิม; นิคม นาคอ้าย
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารและครูในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ จำนวน 266 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 5 คน ครู 154 คน รวมจำนวน 159 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบการตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาโท และมีประสบการณ์ในการบริหารการศึกษาหรือสถานศึกษา จำนวน 7 ท่าน โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวมมีค่าเท่ากับ .12 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทักษะความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญสูงสุดเป็นลำดับแรก 2) แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสหวิทยาเขตพุทธชินราช สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ ที่ผู้ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นสอดคล้องกันสูงสุด คือ (1) ด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาความรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้เทคโนโลยี การนำเสนอ และกระบวนการคิด (2) ด้านทักษะการสื่อสารเพื่อการร่วมมือทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศ (3) ด้านทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพื่อการแก้ปัญหา ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผล ภายใต้ข้อมูลสารสนเทศ ประกอบการตัดสินใจ และสร้างทางเลือกวิธีการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน