คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
40 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) จิราภรณ์ เอมเอี่ยม; วิราพร พงศ์อาจารย์; บุญรักษ์ ดัณฑ์เจริญรัตน์; เตือนใจ เกียวซีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานระบบช่วยเหลือและดูแลนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) บัญชา ว่องวิกย์การ; สุรชัย ขวัญเมือง; ชุมพล เสมาขันธ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก ปีการศึกษา 2550 จำนวน 495 คน จาก 495 โรงเรียน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Random Sampling) ได้จำนวนประชากรทั้งหมด 348 คน สถิติวิเคราะห์ประกอบด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน f - test ผลการวิจัยพบว่า 1.การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับสารเสพติดในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก โดยภาพรวมมีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายขั้นตอนพบว่า ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมการและวางแผนการดำเนินงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงาน โดยภาพรวม มีระดับการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง 2.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีประสบการณ์ต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 3.ผู้บริหารโรงเรียน ที่มีขนาดของโรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม แตกต่างกัน ทุกขั้นตอน 4.ผู้บริหารโรงเรียน ที่สังกัดเขตพื้นที่โรงเรียนต่างกัน มีการดำเนินงานบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือฯ โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน ยกเว้น ในขั้นตอนที่ 3 การกำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงานรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับวิธีการสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) สุภาพร ลุสีดา; ชัยวัฒน์ สิทธิรัตน์; มงคล ภูวิภิรมย์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการกับการสอนแบบปกติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนพิณพลราษฎร์ตั้งตรงจิตร 12 อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 62 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มควบคุม 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวักบุคลิกภาพประชาธิปไตย โดยใช้เวลา 70 นาที ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 20 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยโดยใช้เวลา 70 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ และแบบวัดบุคลิกภาพประชาธิปไตยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทอสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t- test แบบ dependent Sample และ Independent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพประชาธิปไตยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบโยโสมนสิการสูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่ามีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) อุบลรัตน์ พรหมสกุล; สุรชัย ขวัญเมืองการวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาการบริหารงานและแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการวิจัยเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาปัญหาการบริหารงานโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลกเขต 1 จำนวน 242 คน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ได้แก่ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ จำนวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า: 1.ปัญหาการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ทั้ง 4 ด้าน มีปัญหาการบริหารอยู่ในระดับปานกลาง 2.แนวทางในการพัฒนาโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1 มี ดังนี้ 2.1 ด้านการบริหารโรงเรียนแกนนำผู้ทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ (คุณภาพผู้บริหาร) ความรับผิดชอบขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งมีแนวทางการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2.2 ด้านกายภาพ (ห้องเรียนคุณภาพ) ลดจำนวนนักเรียน/ห้อง จัดอุปกรณ์ให้พอเพียง ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมควรวางแผนการรับนักเรียน จัดงบประมาณให้เพียงพอในการปรับปรุงห้องเรียน จัดให้มีมุมความรู้เพื่อพัฒนาทักษะ 2.3 ด้านกระบวนการ (คุณภาพครู) มีการอบรมการสร้างเครื่องมือการวัดผลและประเมินผลและอบรมเทคโนโลยีให้ทันสมัย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการทำวิจัยแผ่นเดียวและสร้างแรงจูงใจในการนำการวิจัยไปใช้ รวมทั้งให้มีการนิเทศติดตามมากขึ้น 2.4 ด้านผลผลิต (คุณภาพนักเรียน) ควรมีระบบจัดนักเรียนที่เข้าศึกษาจนอย่างชัดเจน ฝึกให้นักเรียนมีจิตสาธารณะ และนักเรียนควรมีความเป็นเลิศทางวิชาการพร้อมกับคุณธรรมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสตอรี่ไลน์กับวิธีสอนแบบปกติ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ปราณี จินดาวงษ์; ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์และวิธีสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบางระก้าวิทยศึกษา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 81 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 41 คน กลุ่มควบคุม 40 คน ดำเนินการโดยการทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบวัดความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทดลองสอนแต่ละกลุ่มใช้เวลา 22 ชั่วโมง และทดสอบหลังเรียนด้วยเครื่องมือเดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียนวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ทดสอบสมมุติฐานด้วย สถิติทดสอบทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Sample t – test) และสถิติทีแบบสองกลุ่มเป็นอิสระต่อกัน (Independent Sample t – test) ผลวิจัยพบว่า 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสดอรีไลน์สูงกว่าวิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด ผลการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) สุรินทร์ อ่อนกล; ช่อลัดดา ขวัญเมือง; ทองคำ บ่อคำการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนบ้านตอนจันทร์ อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และแบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการใช้สถิติทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1.นักเรียนที่เรียนโดยการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านความรู้-ความจำ ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการนำความรู้ไปใช้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนที่เรียนโดยการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์แบบอินเตอร์แอกทีฟมีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณในภาพรวม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านความสามารถในการสรุปอ้างอิง ความสามารถในการตระหนักถึงข้อตกลงเบื้องต้น ความสามารถในการนิรนัย ความสามารถในการตีความ และความสามารถในการประเมินข้อโต้แย้ง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ไพโรจน์ วัฒนวงศ์สุโข; สุรชัย ขวัญเมือง; เอื้อมพร หลินเจริญการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและปัญหาในการดำเนินงานบริหารงานวิชาการ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ และด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลทางการเรียน ของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัยเขต 2 และเพื่อเปรียบเทียบสภาพและปัญหา โดยจำแนกตามตำแหน่งและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูวิชาการและครูผู้สอน ในปีการศึกษา 2548 จำนวน 405 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมารค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย(x) ต่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติกี่ทดสอบค่าเอฟ(F-test) ผลการวิจัยพบว่า สภาพการดำเนินงานบริหารวานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งเรียนรู้ รองลงมาได้แก่ ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านที่มีสภาพการดำเนินการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน ปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับน้อย และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการงานวิชาการสูงสุด ได้แก่ ด้านการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน รองลงมา ได้แก่ ด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ และด้านที่มีปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการต่ำสุด ได้แก่ ด้านหลักสูตรสถานศึกษา การเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตำแหน่ง และตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ในภาพรวม ด้านหลักสูตรสถานศึกษา และด้านการวัดประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจำแนกตามตำแหน่ง พบว่าในภาพรวม ด้านกระบวนการเรียนรู้ และด้านการจัดแหล่งการเรียนรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลตามความคิดเห็นของบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา พบว่า บุคลากรทางการศึกษาที่สังกัดสถานศึกษาขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อปัญหาการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วันชัย พฤกษะวัน; สุรชัย ขวัญเมือง; วีรพงษ์ อินร์ทอง; อดุล วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ใน 7 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานและความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 206 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามลักษณะเป็นเลือกตอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีความเห็นโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปน้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณความพร้อมด้านการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต และความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามลำดับ ส่วนครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปย้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการบริหารงานทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในและความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ตามลำดับรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2551) เลิศพันธุ์ มั่นคง; กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์; อรอนงค์ อิงคะสุวณิชย์การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสื่อความสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC ก่อนและหลังเรียน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังทรายพูนวิทยา ปีการศึกษา 2551 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจิตร เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสื่อความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการเขียนสื่อความ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพและปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2545) มนู หมอกเมฆ; สรรค์ วรอินทร์; สอน โรจนตระกูล; สุดไฉน มีรียะเกิด
