คณะครุศาสตร์
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131
ค้นหา
8 ผลลัพธ์
ผลการค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) น้อย คันชั่งทอง; สุขแก้ว คำสอน; บุญส่ง กวยเงินการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 2) พัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา 3) ทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา และ 4) ประเมินผลประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา การวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ การวิจัยระยะที่ 1 การศึกษาสภาพ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐในเขตภาคเหนือ จำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิจัยระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลโดยใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวิจัยคือ ประเด็นการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์ของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยระยะที่ 3 การทดลองใช้แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 56 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 26 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย คือ โปรแกรมการพัฒนาความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเรื่องการลอกเลียนวรรณกรรม และแบบสอบถามความตระหนักรู้ต่อการไม่ลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่า t-test การวิจัยระยะที่ 4 การประเมินประสิทธิภาพของแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษารับรู้ว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก นักศึกษามีพฤติกรรมการลอกเลียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สาเหตุการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษากลิจจากภายในตัวบุคคลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ขาดทักษะด้านภาษาอังกฤษ ต้องการได้เกรด/คะแนนที่ดี และขอบความสะดวกสบาย ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 การป้องกัน องค์ประกอบที่ 2 การตระหนักรู้ และองค์ประกอบที่ 3 การสนับสนุน ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบร่วมกันอธิบายตัวแปรปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมได้ร้อยละ 70.14, 2) แนวทางการป้องกันการลอกเลียนวรรณกรรมของนักศึกษามี 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การป้องกัน กลยุทธ์ที่ 2 การให้ความตระหนักรู้ และกลยุทธ์ที่ 3 การสนับสนุน 3) นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความรู้ความใจเรื่องการออกเสียนวรรณกรรมทั้งโดยภาพรวมและรายด้านสูงกว่ามักศึกษาที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมีนัยสĞำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมมีความตระหนักรู้ต่อการไม่ออกเสียนวรรณกรรมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 4) แนวทางการป้องกันการลอกเสียนวรรณกรรมของนักศึกษามีประสิทธิภาพด้านความเหมาะสม ความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความมีประโยชน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้านรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พนัส นาคบุญ; อนุชา ภูมิสิทธิพร; สุขแก้ว คำสอนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ พัฒนารูปแบบ ทดลองและศึกษาผลการใช้ และประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนโสตศึกษา 11 โรงเรียน จำนวน 99 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาทดลองและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.72, SD = 0.56) และมีสภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.61, SD = 0.36) ซึ่งสรุปว่า สภาพการจัดการเรียนรู้ โดยครูในโรงเรียนโสตศึกษามีการวัดผลและประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง และ มีความคาดหวังต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น 2.คุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.75, SD = 0.26) และคุณภาพของคู่มือครูประกอบการใช้รูปแบบการจัด การเรียนรู้ฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.66, SD = 0.37) 3.ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ พบว่า ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ก่อนการทดลอง และ หลังการทดลองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.74, SD = 0.31)รายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครู : ศึกษากรณีนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ภาวิณี เดชเทศ; พัชราวลัย มีทรัพย์; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะ การใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ การเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบและระยะที่ 2 การทดลองใช้ รูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครูคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา และการทดสอบค่าที (t-test dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนสำหรับนักศึกษาครูที่สอนวิชาอื่น ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการเรียนรู้ และ 5) การวัดและประเมินผล ผลการประเมินคุณภาพ ของรูปแบบอยู่ในระดับมาก ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านอรรถประโยชน์ 2) ด้านความเป็นไปได้ 3) ด้านความเหมาะสม และ 4) ด้านความถูกต้อง ในภาพรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( x̄ = 4.31 , S.D = .193) 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบ ตามองค์ประกอบของสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในด้านความรู้ มีค่าเฉลี่ยหลังการอบรมอยู่ที่ =14.05 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต ที่ 0.05 ในด้านทักษะ ในขั้นการทดลองสอน ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.10 และการประเมินในขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ ในภาพรวมในทุก ๆ องค์ประกอบ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ = 1.83 การประเมินสมรรถนะการใช้ภาษาอังกฤษในการสอน ในขั้นตอนการนิเทศติดตาม จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 การนิเทศการสอนโดยประเมินจากคลิปวิดีโอการสอน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.04 ครั้งที่ 2 เป็นการนิเทศการสอนที่สถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 2.33 ในด้านคุณลักษณะ การวัดระดับการรับรู้ความสามารถของตนในการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ก่อนการอบรมและหลังการอบรม มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสูงขึ้นกว่าก่อนการอบรม ในทุกองค์ประกอบและการศึกษาผลการทบทวนหลังการปฏิบัติการ (AAR) ในทุกขั้นตอนของการใช รูปแบบทั้งหมด 4 ครั้งรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) สุภาพร ปรารมย์; สุขแก้ว คำสอน; สวนีย์ เสริมสุขการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมสำหรับนักศึกษาพยาบาล 2) สร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนฯ และ 4) ประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาลการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการการพัฒนารูปแบบ 2) แบบประเมินคุณภาพมาตรฐานรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3) แบบประเมินชิ้นงานนวัตกรรม 4) แบบสอบถามการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม 5) แบบประเมินรูปแบบของอาจารย์ที่มีต่อการเรียนการสอน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 1 ของการวิจัย คือ อาจารย์พยาบาลที่สอนเกี่ยวกับนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ จำนวน 80 คน กลุ่มตัวอย่างในระยะที่ 2 คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 ท่าน ระยะที่ 3 และ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ผู้สอน จำนวน 4 คน นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร จำนวน 40 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา สถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนการสอนและความต้องการในการพัฒนาตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ด้านการประเมินผลทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรมในภาพรวม อยู่ในระดับน้อยที่สุด และระดับความต้องการในการพัฒนารูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด 2. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 ด้านเนื้อหา องค์ประกอบที่ 4 กิจกรรมการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ 5 การวัดและประเมินผล ประเมินความถูกต้องของรูปแบบอยู่ในระดับมาก กิจกรรมการเรียนการสอน“TRIPAA Model” 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ฝึกทักษะการคิด ( Thinking) ขั้นที่ 2 พิชิต ปัญหา ( Resolving) ขั้นที่ 3 พัฒนาความคิด ( Ideate Development)ขั้นที่ 4 ผลิตชิ้นงาน (Production) ขั้นที่ 5 ทำการประเมิน (Appriasal) ขั้นที่ 6 เพลิดเพลินเผยแพร่ (Advertisemenrt) คุณภาพตามมาตรฐานความเหมาะสมรูปแบบทุกด้านอยู่ในระดับมาก มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล “TRIPAA model” มีระดับการรับรู้ทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม หลังใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ย สูงกว่า ก่อนใช้รูปแบบการเรียนการสอน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และการประเมินชิ้นงานนวัตกรรมทั้งหมด พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด 4. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเพื่อส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์และนวัตกรรม สำหรับนักศึกษาพยาบาล พบว่า การประเมินรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างสรรค์ด้วยปัญญา มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ผลของโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันและภาวะโภชนาการสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ไพลิน จารี; อนุ เจริญวงศ์ระยับการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโภชนาการกับพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย และการจัดการอารมณ์และความเครียดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 2) สร้างและพัฒนาโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3) ศึกษาผลการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.1) เปรียบเทียบภาวะโภชนาการก่อน ระหว่างและหลังการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน 3.2) เปรียบเทียบพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวันได้แก่ ในการบริโภคอาหาร การมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียดสัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน กลุ่มตัวอย่างและเครื่องมือที่ใช้ 1) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตากเขต 1 ที่มีภาวะโภชนาการเกินเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ พฤติกรรมการบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด จำนวน 57 ข้อ ตรวจสอบคุณภาพด้วยวิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้องและค่าความเชื่อมั่น 2) โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรม โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน 3) กลุ่มตัวอย่างประชากรเป็ นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4-6 ที่มีภาวะโภชนาการเกินโรงเรียนเทศบาล 3 วัดชัยชนะสงคราม จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะโภชนาการของนักเรียน มีความสัมพันธ์ทางลบระดับสูงกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 2) ผลการประเมินความเหมาะสมโปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน ในภาพรวมมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะโภชนาการหลังใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน สัปดาห์ที่ 1-4 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม ไม่แตกต่างกัน ส่วนสัปดาห์ที่ 5-10 เมื่อเทียบกับก่อนใช้โปรแกรม แตกต่างกัน และพฤติกรรมสุขภาพในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด สัปดาห์ที่ 1 - สัปดาห์ที่ 5 – สัปดาห์ที่ 10 ของการใช้โปรแกรมบูรณาการการจัดการสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีภาวะโภชนาการเกิน แตกต่างกันรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ชุติพร เหล็กคำ; ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ; สุขแก้ว คำสอนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบโมเดลการวัดคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) พัฒนากลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยระยะที่ 1 ได้แก่ นักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่บกพร่องทางด้านสติปัญญา มีระดับสติปัญญา 50 - 70 อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 360 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมินระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้ค่าความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ระยะที่ 2 การพัฒนาแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และประเมินกลยุทธ์ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน และสภาพแวดล้อมภายใน/ภายนอกศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้เชี่ยวชาญในระดับผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ และหัวหน้างานวิชาการ จำนวน 8 คนเครื่องมือได้แก่แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 กำหนดกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์การบริหารงานการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) จำนวน 9 คน เครื่องมือได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านโอกาส หรือ อุปสรรค ของศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) แบบวิเคราะห์สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมภายใน จำแนกเป็นรายด้าน แยกเป็นปัจจัยด้านจุดแข็งหรือจุดอ่อน ของศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นประเด็นของปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในของศูนย์การศึกษาพิเศษ ที่ส่งผลต่อการการยกระดับคุณภาพ เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และขั้นตอนที่ 3 ประเมินคุณภาพกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษารองผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน รวมทั้งสิ้น จำนวน 360 คน เครื่องมือได้แก่แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของแผนกลยุทธ์การยกระดับคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ค่าสถิติ ได้แก่ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษใน ศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มี 4 องค์ประกอบ 14 ตัวชี้วัด และผลการวิเคราะห์ความกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับแรกขององค์ประกอบคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า มีค่า 2 = 76.68, p = 0.12, df = 63, 2/df = 1.22, CFI = 1.00, GFI = 0.97, AGFI= 0.94, RMSEA = 0.026, SRMR= 0.034 แสดงว่าโมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 2. การพัฒนาแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 6 ประเด็นกลยุทธ์ได้แก่ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและโอกาสทางการศึกษา ประเด็นกลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้มีประสิทธิภาพ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 3 พัฒนาบุคลากรด้านการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษมืออาชีพประเด็นกลยุทธ์ที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ สื่อความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาและแหล่งเรียนรู้ ประเด็นกลยุทธ์ที่ 5 ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษให้ให้มีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพของตน และประเด็นกลยุทธ์ที่ 6 สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่มีประสิทธิภาพ และ ผลการประเมินกลยุทธ์ พบว่าในภาพรวมความเป็นไปได้ของวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ ประเด็นกลยุทธ์ของแผนกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษในศูนย์การศึกษาพิเศษสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) ณกมล นกแก้ว; สุวารีย์ วงศ์วัฒนา; อนุ เจริญวงศ์ระยับการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบทักษะชีวิตของนักเรียนด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) ทดลองใช้และหาประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต สำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษกระบวนการวิจัยประกอบด้วย 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ 4 ภูมิภาค ๆ ละ 3 โรงเรียน รวม 520 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินทักษะชีวิต สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าความถี่ ร้อยละและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 2) ยกร่าง ตรวจสอบปรับปรุง และหาคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินคุณภาพตามมาตรฐานรูปแบบ 4 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) ทดลองใช้รูปแบบ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 40 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินทักษะชีวิตก่อนและหลังเรียน และแบบประเมินทักษะชีวิตระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละและสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และ 4) ศึกษาความคิดเห็นต่อรูปแบบ จากนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มเด็กยากจนมากเป็นพิเศษ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 57 จังหวัดเพชรบูรณ์ จ านวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ทักษะการตระหนักรู้และเห็นคุณค่า ในตนเองและผู้อื่น 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 3) ทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด และ 4) ทักษะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น และมีตัวชี้วัดรวมทั้งสิ้น 27 ตัวชี้วัด และโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ x² = 504.38, df. = 263, CFI = 0.963, TLI = 0.950, และRMSEA = 0.041 เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับหนึ่งของโมเดลทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส จำนวน 27 ตัวชี้วัด พบว่ามีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานตั้งแต่ 0.534 - 0.761 มีค่าความเชื่อมั่นในการวัด (R2) อยู่ระหว่าง 0.285 – 0.579 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง พบว่าองค์ประกอบทั้ง 4 มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานอยู่ในช่วง 0.816 – 0.939 2. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ประกอบด้วย 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ ประกอบด้วย 15 กิจกรรม 4) กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ขั้นการเรียนรู้ คือ ขั้นที่ 1 การเตรียมการเตรียมจิต ขั้นที่ 2 การเสริมสร้างกระบวนการคิด และ ขั้นที่ 3 การเชื่อมโยงในชีวิต และ 5) การวัดและประเมินผล มีคุณภาพตามมาตรฐานของรูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3. รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญาศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ78.65/80.54 ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 ที่ตั้งไว้ และระดับทักษะชีวิตของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามแนวจิตตปัญญา ศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตสำหรับเด็กด้อยโอกาส ในโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จินตนา ประดุจพงษ์เพ็ชร์; สลักจิต ตรีรณโอภาสการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ได้ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรม ความต้องการของผู้ปกครอง และรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติก กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติก 2) พัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ ที่มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติกจำนวน 6 คน เครื่องมือเป็นแบบทดสอบความรู้ด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก และแบบบันทึกการสะท้อนคิด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการอบรม และ 4) ประเมินรูปแบบฯ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกส่วนใหญ่เป็นการกระทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองมากที่สุด รองลงมา คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น และการกระทำให้เกิด ความเสียหายต่อสิ่งของตามลำดับและผู้ปกครองมีความต้องการให้ติดตามและรายงานผลการจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กออทิสติกร่วมกันอย่างต่อเนื่องของนักสหวิชาชีพมากที่สุด รองลงมา คือ การได้รับการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญในการจัดการปัญหาพฤติกรรมในสถานการณ์จริง และการพัฒนาความรู้และทักษะในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเป็นลำดับสุดท้ายและพบว่า รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในเขตภาคเหนือตอนล่างเป็นแบบตามใจมากที่สุดรองลงมา คือ แบบเอาใจใส่ และแบบควบคุมตามลำดับ 2. รูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ของการอบรม เนื้อหาการอบรม กิจกรรมการอบรม สื่อการอบรม การวัดและประเมินผล โดยมีกิจกรรมการอบรมตามกระบวนการจิตตปัญญา 4 ขั้นตอน คือ สงบนิ่ง (Calm) สนใจใคร่ครวญ (Contemplation) สร้างความคิด (Creativity) และสัญญาจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Commitment) (ส.ส.ส.ส.) รวมทั้งมีผลการประเมินคุณภาพก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ที่มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเหมาะสมได้ค่าต่ำที่สุด 3. ผลการใช้รูปแบบการอบรมสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเพิ่มขึ้น และสามารถลดสภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกหลังการใช้รูปแบบการอบรม 4. ผลการประเมินรูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ด้านประสิทธิผล ด้านประสิทธิภาพ และด้านผลกระทบ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน