คณะครุศาสตร์

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/131

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 2 of 2
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พนัส นาคบุญ; อนุชา ภูมิสิทธิพร; สุขแก้ว คำสอน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ พัฒนารูปแบบ ทดลองและศึกษาผลการใช้ และประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนโสตศึกษา 11 โรงเรียน จำนวน 99 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาทดลองและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ นักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.สภาพการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.72, SD = 0.56) และมีสภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.61, SD = 0.36) ซึ่งสรุปว่า สภาพการจัดการเรียนรู้ โดยครูในโรงเรียนโสตศึกษามีการวัดผลและประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง และ มีความคาดหวังต่อกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น 2.คุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.75, SD = 0.26) และคุณภาพของคู่มือครูประกอบการใช้รูปแบบการจัด การเรียนรู้ฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.66, SD = 0.37) 3.ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ พบว่า ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ก่อนการทดลอง และ หลังการทดลองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเทคโนโลยี โดยใช้ทฤษฎี คอนสตรัคชั่นนิสซึม เพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.74, SD = 0.31)
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) จินตนา ประดุจพงษ์เพ็ชร์; สลักจิต ตรีรณโอภาส
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ได้ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพปัญหาพฤติกรรม ความต้องการของผู้ปกครอง และรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติก กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติก 2) พัฒนารูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 ท่าน 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบฯ ที่มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติกจำนวน 6 คน เครื่องมือเป็นแบบทดสอบความรู้ด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก และแบบบันทึกการสะท้อนคิด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและหลังการใช้รูปแบบการอบรม และ 4) ประเมินรูปแบบฯ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกส่วนใหญ่เป็นการกระทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองมากที่สุด รองลงมา คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น และการกระทำให้เกิด ความเสียหายต่อสิ่งของตามลำดับและผู้ปกครองมีความต้องการให้ติดตามและรายงานผลการจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กออทิสติกร่วมกันอย่างต่อเนื่องของนักสหวิชาชีพมากที่สุด รองลงมา คือ การได้รับการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญในการจัดการปัญหาพฤติกรรมในสถานการณ์จริง และการพัฒนาความรู้และทักษะในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเป็นลำดับสุดท้ายและพบว่า รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในเขตภาคเหนือตอนล่างเป็นแบบตามใจมากที่สุดรองลงมา คือ แบบเอาใจใส่ และแบบควบคุมตามลำดับ 2. รูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ของการอบรม เนื้อหาการอบรม กิจกรรมการอบรม สื่อการอบรม การวัดและประเมินผล โดยมีกิจกรรมการอบรมตามกระบวนการจิตตปัญญา 4 ขั้นตอน คือ สงบนิ่ง (Calm) สนใจใคร่ครวญ (Contemplation) สร้างความคิด (Creativity) และสัญญาจะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Commitment) (ส.ส.ส.ส.) รวมทั้งมีผลการประเมินคุณภาพก่อนนำรูปแบบฯ ไปใช้ที่มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเหมาะสมได้ค่าต่ำที่สุด 3. ผลการใช้รูปแบบการอบรมสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองเพื่อจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกเพิ่มขึ้น และสามารถลดสภาพปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติกหลังการใช้รูปแบบการอบรม 4. ผลการประเมินรูปแบบการอบรมผู้ปกครองตามแนวคิดกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาเพื่อส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูในการจัดการปัญหาพฤติกรรมของเด็กออทิสติก ด้านประสิทธิผล ด้านประสิทธิภาพ และด้านผลกระทบ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน