คณะวิทยาการจัดการ

Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/148

ค้นหา

ผลการค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 32
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การวิเคราะห์ผลการประกันคุณภาพการศึกษาของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) หรรษา สันติวิไลลักษณ์
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี กับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) พัชรินทรา ชัยสมตระกูล; สุธีรา วิไลกุล; รัตนา สิทธิอ่วม
    การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี กับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชีกับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ด้วยวิธีการวิเคราะห์ส่วนประกอบของข้อมูลเปรียบเทียบความเหมือนหรือความสอดคล้องและความแตกต่างของผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี (TOF) และมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (IES) โดยจัดแบ่งกลุ่มรายวิชาบัญชีเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิชาการบัญชีการเงินและการรายงานทางการเงิน กลุ่มวิชาการบัญชีบริหาร กลุ่มวิชาการเงินและการบริหารการเงิน กลุ่มวิชาภาษีอากร กลุ่มวิชาการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่น กลุ่มวิชาการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายใน และกลุ่มวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ นำผลการเรียนรู้ที่มีวัตถุประสงค์ของการวัดผลเหมือนกันมาจับคู่กัน และวิเคราะห์กลุ่มรายวิชาตามผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรบัญชีบัณฑิต (ปรับปรุง พ.ศ.2561) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี (TOF) และมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (IES) พบว่า กลุ่มวิชาการบัญชีการเงินและการรายงานทางการเงิน ผลการเรียนรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรมมีความแตกต่างมากที่สุด 2) กลุ่มวิชาการบัญชีบริหาร มีผลการเรียนรู้ใกล้เคียงกัน 3) กลุ่มวิชาการเงินและการบริหารการเงิน ผลการเรียนรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด 4) กลุ่มวิชาภาษีอากร ผลการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด กลุ่มวิชาการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่น ผลการเรียนรู้ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบมีความแตกต่างมากที่สุด 6) กลุ่มวิชาการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ผลการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด 7) กลุ่มวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีมีความแตกต่างมากที่สุด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    รู้เท่าทันสื่อดิจิทัลกับบทบาทของผู้บริโภค
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) พิชญาพร ประครองใจ; เอกรงค์ ปั้นพงษ์
    การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลของผู้บริโภคและเพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่อตามสิทธิของผู้บริโภค ขนาดของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เท่ากับ 363 คน และภาคีเครือข่ายทํางานรู้เท่าทันสื่อประเทศไทย 11 คน ที่มีค่าความเชื่อถือได้ ร้อยละ 95 ค่าระดับความคลาดเคลื่อนไม่เกินร้อยละ 5 หรือระดับนัยสําคัญ 0.05 ผลการวิเคราะห์ พบว่า ระดับการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลของผู้บริโภค ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความรู้ในเรื่องการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล อยู่ในระดับมาก ด้านสื่อดิจิทัลมีอิทธิพลต่อผู้บริโภค การใช้ภาพประกอบ สี และแสง มีผลด้านจิตวิทยาต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อ รองลงมาคือ ผู้ประกอบกิจการอย่างเฟซบุ๊ก กูเกิ้ล หรือยุทูป ล้วนมีรายได้จากการโฆษณาทางดิจิทัลฉันเนื่องมาจากการเข้าใช้บริการของผู้บริโภค และด้านข้อมูลพื้นฐานในการตรวจสอบข่าวที่เรากําลังอ่านตรงหน้า ตามลําดับ มีความเข้าใจในเรื่องการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลอยู่ในระดับมาก โดยนักศึกษาสามารถใช้ดุลยพินิจในการแชร์ข้อมูลของตนเองและผู้อื่นโดยคํานึงถึงความเป็นส่วนตัว และนักศึกษาสามารถวิเคราะห์แยกแยะระหว่างข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิด เนื้อหาที่ดี และเนื้อหาอันตราย ข้อมูลติดต่อออนไลน์ที่น่าเชื่อถือและน่าสงสัยได้ รองลงมาคือ นักศึกษาสามารถเข้าใจธรรมชาติของการใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล ว่าจะหลงเหลือร่องรอยข้อมูลทั้งไว้เสมอ รวมไปถึงเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อการดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างมีความรับผิดชอบ และนักศึกษาสามารถแสดงความเข้าใจความรู้สึก หรือความต้องการของตนเองและผู้อื่นบนโลกออนไลน์ ตามลําดับ กระบวนการเรียนรู้การรู้เท่าทันสื่อตามสิทธิของผู้บริโภคประกอบด้วย (1) สร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ได้แก่ กําหนดวัตถุประสงค์กิจกรรมที่ชัดเจนและวัดผลได้วางแผนการจัดกิจกรรมอย่างมีระบบและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงทัศนะอย่างกว้างขวางดําเนินกิจกรรมที่มีเนื้อหามาจากประสบการณ์/กรณีศึกษาที่น่าสนใจ และเป็นกิจกรรมที่ทําให้เกิดการมีส่วนร่วมและประเมินผลกิจกรรม โดยควรเป็นการวัดผลก่อน-หลังทํากิจกรรม (2) สร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์จากกรณีศึกษา/ประสบการณ์ส่วนบุคคล ดังนี้ การตั้งคําถาม เช่น ข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่ ข้อมูลนี้มาจากที่ใด มีวัตถุประสงค์อะไร ตรวจสอบความน่าเชื่อของข้อมูลกับแหล่งข้อมูลอื่นๆ ฝึกความคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการมีวิจารญาณ (3) สร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านการการเรียนการสอน ดังนี้ จัดหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับชั้นและจัดหลักสูตรการเรียนการสอนระยะสั้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้บริโภคสื่อดิจิทัล หรือความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Intelligence) หรือ DQ
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายการเดินทางไปราชการของคณะวิทยาการจัดการประจำปีงบประมาณ 2559
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ศิรินทร์ ทิมจันทร์
  • รายการ
    บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิต
  • รายการ
    อิทธิพลของการบริการภิวัฒน์การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พลอยณัชชา เดชะเศรษฐ์ศิริ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสําคัญการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็น ดิจิทัล นวัตกรรมการบริการ และผลการดําเนินงานของธุรกิจ 2) ศึกษาอิทธิพลของการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็นดิจิทัล และนวัตกรรมการบริการที่ส่งต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ และ 3) เพื่อ ทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการที่เชื่อมโยงการ บริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในภาคเหนือของประเทศไทย ผู้วิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการ คณะกรรมการบริหารหรือผู้จัดการของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือจํานวน 422 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาและสถิติอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญกับทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20) รองลงมาคือ การแปลงเป็นดิจิทัล (ค่าเฉลี่ย รวมเท่ากับ 4.06) และนวัตกรรมการบริการ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.84) ตามลําดับ สําหรับผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้าของบริษัทกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ในระดับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ เป้าหมาย (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.83) และผลการดําเนินงานทางการเงินของบริษัทกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.33 การบริการภิวัฒน์มีอิทธิพลทางตรงเซิงบวกต่อการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และต่อผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้าอย่างม นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทางการเงิน สําหรับการ แปลงเป็นดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงต่อนวัตกรรมการบริการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 แต่ ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทั้งผลการดําเนินงานทางการเงินและผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า ส่วนนวัตกรรมการบริการมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อทั้งผลการดําเนินงานทาง การเงินและผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เมื่อ พิจารณาอิทธิพลทางอ้อมและอิทธิพลโดยรวมพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานทาง การเงินมากที่สุดคือ นวัตกรรมการบริการ รองลงมาคือ การบริการภิวัฒน์ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการดําเนินงานทางการเงิน ได้ร้อยละ 10.70 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานด้านการบริการลูกค้ามากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ รองลงมาคือ นวัตกรรมการบริการ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้า ได้ร้อยละ 28.90 เมื่อพิจารณาอิทธิพลของตัวแปรคั่นกลาง คือ การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการท เชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์สู่ผลต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs พบว่า การแปลงเป็นดิจิทัลเป็น ตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มิอิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการ ดําเนินงานทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ส่วนนวัตกรรมการบริการ เป็นตัวแปร คั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มี่อิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงาน ทางการเงิน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้านการ บริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
  • รายการ
    อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปิยะนุช พรหมประเสริฐ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ
    การศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร และความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และ 4) เพื่อทดสอบอิทธิพลความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 640 ราย เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 64 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน 4) แรงจูงใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 5) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 6) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 7)สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่าน 8) ความพึงพอใจในการทำงานที่เป็นตัวแปรกำกับไม่ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน