คณะวิทยาการจัดการ
Permanent URI for this communityhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/148
ค้นหา
รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) สุรัตนา ศรีจันทร์กิจ; วิจิตรา จำลองราษฎร์; ภัทรสิริ กุนเดชาการวิจัย เรื่อง การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก โดยจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ประกอบด้วย เพศ สถานภาพระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการเลือกทำเลที่ตั้งอสังหาริมทรัพย์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภคที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชากรที่อาศัยในจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นประชากรกลุ่ม Gen Y อายุอยู่ระหว่าง 23 - 42 ปี จำนวน 385 คน และมีความสนใจที่จะซื้อทรัพย์สินรอการขาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า อาชีพและรายได้ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายแตกต่างกันส่วนปัจจัยการเลือกทำเลที่ตั้งอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภคมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสามารถพยากรณ์การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยได้ถูกต้องร้อยละ 49.80รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) และความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่มีผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) อิศรุต คุณประสาท; ลัสดา ยาวิละ; รัตนา สิทธิอ่วมบทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2) เพื่อศึกษาการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง และ 3) เพื่อศึกษาความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่กลุ่มลูกค้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) เพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ความสัมพันธ์ระหว่างภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) พบว่า การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้านการสร้างฐานข้อมูลลูกค้า ด้านการกำหนดโปรแกรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ มีผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง R2 เท่ากับ 0.993 ได้ร้อยละ 99.30 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) พบว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ด้านความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ด้านการร่วมพัฒนาชุมชน และสังคม ด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม มีผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ภาคเหนือตอนล่าง R2 เท่ากับ 0.964 ได้ร้อยละ 96.40รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบริหารและจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อการวิจัยเรื่อง การบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและแบบสำรวจการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบจำลองการบริหารและการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยปรับแต่งเป็นแบบสำรวจเพื่อใช้เก็บข้อมูลภาคสนามและแบบสอบถามที่นำไปเก็บข้อมูลจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้า บุคคลผู้ปฏิบัติงานในอุทยานฯ นักท่องเที่ยว ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า อุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้ามีความสามารถในการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับที่สูง มีเพียง 4 กิจกรรมเท่านั้นที่อุทยานฯยังไม่ได้ดำเนินการ ส่วนความสามารถในการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรในองค์กร, นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในเขตอุทยาน อยู่ในระดับดีพอสมควรทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแบบสำรวจและแบบสอบถามการบริหารและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะสามารถเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้รายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) อรวรรณ ไพโรจนวุฒิพงศ์; บุษบา หินเธาว์; พิชญาพร ประครองใจ; ธิดารัตน์ วุฒิศรีเสถียรกุลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีของคนส่วนใหญ่ในชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก และเพื่อการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและระบบสารสนเทศเพื่อประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมและประเพณีของชุมชนบ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยดําเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 - พฤษภาคม 2563 และใช้กระบวนการวิจัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตการอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนมีตัวแทนชุมชน ร่วมเป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทอผ้าและการประกอบอาหารพื้นถิ่น ผลการวิจัยพบว่า วิถีชีวิตวัฒนธรรมและประเพณีของคนส่วนใหญ่ในชุมชนบ้านนาเมืองเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยมีการดํารงชีวิตความสัมพันธ์ทางสังคมและความเป็นอยู่ได้รับคําแนะนําเกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมของสิบสองฮีต (เดือน) สิบสี่กงควบคุมจริยธรรมศีลธรรมและการปฏิบัติของหมู่บ้านเพื่อการดํารงอยู่อย่างสงบสุข สามารถทําได้โดยการสืบทอดวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีของชาวลาวที่บ้านนาเมือง อําเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก 1. ระบบครอบครัว 2. ความเชื่อเรื่องผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ 3. ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของสมาชิกในชุมชน 4. ความเข้้มแข็งของวัฒนธรรม / ประเพณีที่สําคัญของชุมชน 5. ความเชื่อของพระพุทธศาสนาและมีความสัมพันธ์กับทางธรรมชาติสามรูปแบบ คือ 1. สมาชิกในครอบครัวที่เป็นปัจจัยหลักในการถ่ายทอดทางมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามพันธุกรรม 2. การเก็บรักษาข้อมูลในท้องถิ่นของนักวิชาการและผู้รู้ 3. ชุมชนวัดและสถานศึกษาที่มีส่วนร่วมในมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณีของหมู่บ้าน. รูปแบบการท่องเที่ยวบ้านนาเมืองคือ “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศิลปะประเพณีและวิถีชีวิต” โดยมีองค์ประกอบ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ (น้ําตกภูเขาทิวทัศน์โดยรอบ) ความรู้ท้องถิ่น (ผ้าทอมือบ้านนาเมือง - อาหารพื้นบ้าน) และจัดกิจกรรมท่องเที่ยว (ปั่นนจักรยานสัมผัสวัฒนธรรมชนบทชมสะพานไม้กลางทุ่งนาชมการสาธิตการทอผ้าฝากทํางานศิลปาชีพผ้าทอมือ (บ้านนาเมือง) ร่วมสืบสานประเพณีบ้านนาเมืองทดลอง ด้านการเกษตรเพาะกล้า / ล่าปู / กบพูดและกิจกรรมทําอาหารพื้นบ้านปูผัด / ผัดเผ็ดกบ) และเพื่อสร้างช่องทางการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและประเพณีของชุมชนหน้าเมือง มีการใช้กระบวนการวิจัยร่วมกับชุมชนในฐานะผู้ให้ข้อมูลหลัก ตลอดจนการออกแบบเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวร่วมกัน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึกการสนทนากลุ่มสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการการประชุมกลุ่มการสังเกตแบบสอบถามและการสํารวจแหล่งท่องเที่ยวงานเทศกาลประเพณีและวัฒนธรรมในชุมชนบ้านนาเมือง และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อใช้ข้อมูลเพื่อกําหนดโครงสร้างข้อมูลภายในเว็บไซต์และวางผังรูปแบบของหน้าเว็บได้อย่างเหมาะสมรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาอินโฟกราฟิกแนะแนวหลักสูตร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) พิณรัตน์ นุชโพธิ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1) เพื่อศึกษาความต้องการของสาขาวิชาในการพัฒนาอินโฟกราฟิกและระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยพิบูลสงคราม 2) เพื่อออกแบบและพัฒนาอินโฟกราฟิก และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูแนะแนว และนักเรียนจากโรงเรียนเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 หลังการใช้อินโฟกราฟิก และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยจากประธานสาขาวิชาจำนวน 10 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตรปริญญาตรี 9 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีก หลักสูตรบัญชีบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและบริการ หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ และหลักสูตรปริญญาโท 1 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการประยุกต์ ผลการศึกษาพบว่า ประธานสาขาวิชาทั้ง 10 หลักสูตรต้องการสื่อประชาสัมพันธ์ที่ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับอาชีพที่ตรงกับสาขาวิชา โครงสร้างหลักสูตรและการเรียนการสอน และโอกาสในการประกอบอาชีพ มากที่สุด ขั้นตอนต่อไปคือการศึกษาความต้องการสื่อประชาสัมพันธ์ และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามของกลุ่มตัวอย่างครูแนะแนวสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 จำนวน 52 คน จากการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างครูแนะแนว มีความต้องการสื่อสารสนเทศที่ทันสมัย และต้องการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการด้านกระบวนการทำงานมากที่สุด หลังจากการศึกษาความต้องการของประธานสาขาวิชา และกลุ่มตัวอย่างครูแนะแนวแล้วจะนำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกและระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร จากนั้นได้ทำการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้งานอินโฟกราฟิก ซึ่งจากกลุ่มตัวอย่างครูแนะแนว จำนวน 52 คน และกลุ่มตัวอย่างนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 จำนวน 1,050 คน และพบว่า กลุ่มตัวอย่างครูแนะแนวมีความพึงพอใจคุณภาพด้านเนื้อหา การบรรยาย และการบันทึกเสียงมากที่สุด รองลงมา คือคุณภาพการออกแบบ และด้านการสร้างภาพเคลื่อนไหว ตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างนักเรียนมีความพึงพอใจด้านเนื้อหา และด้านประโยชน์ในการนำไปใช้มากที่สุดเท่ากัน ในส่วนของการประเมินความพึงพอใจหลังการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร พบว่า กลุ่มตัวอย่างครูแนะแนวมีความพึงพอใจด้านประสิทธิภาพการทำงานของระบบมากที่สุด รองลงมา คือ ความพึงพอใจด้านความยากง่ายต่อการใช้ระบบ และด้านความปลอดภัยของข้อมูล ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างนักเรียนมีความพึงพอใจด้านประโยชน์ในการนำไปใช้มากที่สุด รองลงมาด้านการออกแบบและจัดรูปแบบ และด้านความยากง่ายต่อการใช้ระบบตามลำดับรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การพัฒนาโมบายไซต์โดยใช้แบบจําลองความสําเร็จของระบบสารสนเทศ IS Success Model ของธุรกิจโรงแรมในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ศศินิภา ศรีกัลยานิวาทการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของคุณภาพระบบ คุณภาพสารสนเทศและคุณภาพบริการที่มีผลต่อความพึงพอใจและความไว้วางใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการผ่านทางโมบายไซต์ของธุรกิจโรงแรม โดยการประยุกต์ใช้แบบจําลองของ DeLone และ McLean กลุ่มประชากร คือ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการโมบายไซต์ของธุรกิจโรงแรม ระดับ 4 และ 5 ดาว ในจังหวัดพิษณุโลก งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสํารวจ คือ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการโมบายไซต์ของธุรกิจโรงแรม จํานวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ซอฟต์แวร์สําเร็จรูปทางสถิติประมวลผลข้อมูลโดยสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพระบบ คุณภาพสารสนเทศ และคุณภาพบริการ มีผลกระทบต่อความพึงพอใจและความไว้วางใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการโมบายไซต์ของธุรกิจโรงแรมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์การใช้จ่ายงบประมาณในการพัฒนาบุคลากร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีงบประมาณ 2557 – 2559(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) หนึ่งฤทัย ล้อมผลรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายการเดินทางไปราชการของคณะวิทยาการจัดการประจำปีงบประมาณ 2559(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) ศิรินทร์ ทิมจันทร์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์ผลการประกันคุณภาพการศึกษาของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) หรรษา สันติวิไลลักษณ์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิเคราะห์โครงการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556-2558 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) ศิรินทร์ ทิมจันทร์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กัญชลิกา วงศ์กิตติรัตน์; นงลักษณ์ ใจฉลาด; ผ่องลักษมี จิตต์การุญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการจัดแสดง ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านบุคลากร และเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย จําแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษา โดยมีประชากรคือนักท่องเที่ยวชาวไทย จํานวน 5,750 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 360 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับดีทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านบุคลากร รองลงมาคือ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการจัดแสดง และด้านการประชาสัมพันธ์ ตามลําดับ 2. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งภาพรวมและรายด้าน ตํ่ากว่ากลุ่มอายุอื่นๆรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี กับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับ ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) พัชรินทรา ชัยสมตระกูล; สุธีรา วิไลกุล; รัตนา สิทธิอ่วมการศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี กับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชีกับมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ด้วยวิธีการวิเคราะห์ส่วนประกอบของข้อมูลเปรียบเทียบความเหมือนหรือความสอดคล้องและความแตกต่างของผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี (TOF) และมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (IES) โดยจัดแบ่งกลุ่มรายวิชาบัญชีเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวิชาการบัญชีการเงินและการรายงานทางการเงิน กลุ่มวิชาการบัญชีบริหาร กลุ่มวิชาการเงินและการบริหารการเงิน กลุ่มวิชาภาษีอากร กลุ่มวิชาการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่น กลุ่มวิชาการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการควบคุมภายใน และกลุ่มวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ นำผลการเรียนรู้ที่มีวัตถุประสงค์ของการวัดผลเหมือนกันมาจับคู่กัน และวิเคราะห์กลุ่มรายวิชาตามผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรบัญชีบัณฑิต (ปรับปรุง พ.ศ.2561) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการบัญชี (TOF) และมาตรฐานการศึกษาระหว่างประเทศสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี (IES) พบว่า กลุ่มวิชาการบัญชีการเงินและการรายงานทางการเงิน ผลการเรียนรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรมมีความแตกต่างมากที่สุด 2) กลุ่มวิชาการบัญชีบริหาร มีผลการเรียนรู้ใกล้เคียงกัน 3) กลุ่มวิชาการเงินและการบริหารการเงิน ผลการเรียนรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรม และด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด 4) กลุ่มวิชาภาษีอากร ผลการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด กลุ่มวิชาการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่น ผลการเรียนรู้ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบมีความแตกต่างมากที่สุด 6) กลุ่มวิชาการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน ผลการเรียนรู้ด้านทักษะทางปัญญามีความแตกต่างมากที่สุด 7) กลุ่มวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีมีความแตกต่างมากที่สุดรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) บุญศิริ สุทธิกาญจน์กุล; ลัสดา ยาวิละ; รัตนา สิทธิอ่วมวัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ 1) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลกจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 2) เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC)ที่ ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ โดยเก็บข้อมูลจากบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการโฆษณา ด้านการขายโดยพนักงานขายด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการตลาดทางตรง ด้านการส่งเสริมการขาย และมีการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอยู่ในระดับมาก ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ สถานภาพ อาชีพ รายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของผู้บริโภคในจังหวัดพิษณุโลก ได้ร้อยละ 57.90 โดยด้านการโฆษณาส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด รองลงมา ด้านการตลาดทางตรง ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการ ส่งเสริมการขาย ตามลำดับรายการ เมทาเดทาเท่านั้น การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ละดาวัลย์ จันทโชติ; ลัสดา ยาวิละ; รัตนา สิทธิอ่วมบทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน จากกลุ่มลูกค้าที่เลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ในเขตภาคเหนือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณผลการศึกษาพบว่า 1) เพศ อายุ สภานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และผ่านทางวีดีโอออนไลน์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 28.50อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3).ส่วนประสมการตลาด 4Es ด้านการสร้างความสัมพันธ์และด้านการสร้างประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 51.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น คุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อธนาคารออมสินสาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) คุณากร สืบสายอ่อน; ลัสดา ยาวิละ; จิระภา งามสุทธิวัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการใช้บริการ และเพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร จ านวน 400 ราย ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจในด้านความสะดวกและสิ่งอำนวยความสะดวกของแหล่งบริการ ด้านการเข้าถึงแหล่งบริการ ด้านความพอเพียงของบริการที่มีอยู่ อยู่ในระดับมาก ส่วนความสามารถของลูกค้าที่จะเสียค่าใช้จ่ายสำหรับบริการอยู่ในระดับปานกลาง และคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า และด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ อยู่ในระดับมาก ส่วนการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของลูกค้ากับคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยมีค่าความสัมพันธ์ ระหว่าง 0.602– 0.764รายการ เมทาเดทาเท่านั้น คุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กรและความคล่องตัวในการเรียนรู้ทีส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) จุฬาพัฒน์ สิ่วหงวน; จิระภา งามสุทธิการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร ความคล่องตัวในการเรียนรู้ และผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร และความคล่องตัวในการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ บุคลากรสายวิชาการ และสายสนับสนุนวิชาการ จํานวน 376 ราย ผู้วิจัยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพชีวิตในการทํางาน ความผูกพันในองค์กร และความคล่องตัวในการเรียนรู้ของบุคลากรในมหาวิทยาลัยรัฐในจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในระดับมาก และความผูกพันในองค์กรส่งผลต่อผลการดําเนินงานของมหาวิทยารัฐในจังหวัดพิษณุโลกมากที่สุด รองลงมาก คือ คุณภาพชีวิตในการทํางาน และความคล่องตัวในการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์ผลการดําเนินงานขององค์กรได้ถูกต้องร้อยละ 76.70รายการ เมทาเดทาเท่านั้น นวัตกรรมผลิตภัณฑ์นวัตกรรมกระบวนการองค์กรแห่งการเรียนรู้และผลการดำเนินงานของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) รักษิตา ดีอ่ำ; อรุณี นุสิทธิ์; รัตนา สิทธิอ่วมการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ ศึกษาผลกระทบที่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมกระบวนการ และองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีต่อผลการด าเนินงานของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยกลุ่มตัวอย่างคือผู้ประกอบการธุรกิจน าเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 386 ราย ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ( Multiple regression analysis) ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมกระบวนการ และองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ขณะที่ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณพบว่า นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ด้านปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และบริการ นวัตกรรมกระบวนการด้านปรับปรุงกระบวนการทำงาน และองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการคิดอย่างมีระบบ ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ดังนั้นผู้ประกอบการควรปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และบริการ โดยนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานโดยให้พนักงานลดขั้นตอนการท างานที่ซ้ำซ้อน รวมถึง กระตุ้นให้พนักงานสามารถคิดอย่างเป็นระบบได้มากขึ้นรายการ เมทาเดทาเท่านั้น บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยการตลาดแบบไร้รอยต่อ Omni Channel Marketing ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าจากห้างแม็คโคร ในจังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ญานิศา สุวรรณหงษ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; รัตนา สิทธิอ่วมวัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ (1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการตลาดแบบไร้รอยต่อ (Omni Channel Marketing) และระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าจากห้างแม็คโคร ในจังหวัดพิษณุโลก และ (2) เพื่อศึกษาปจจั ั ยการตลาดแบบไร้รอยต่อ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าจากห้างแม็คโคร ในจังหวัดพิษณุโลก ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เคยซื้อสินค้ารูปแบบช่องทางออนไลน์ จำนวน 400 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กับผู้ที่เคยมีประสบการณ์การซื้อสินค้าการตลาดแบบไร้รอยต่อ ผลการวิจัย พบว่า ปัยจัยการตลาดไร้รอยต่อ (Omni Channel Marketing) และการตัดสินใจซื้อสินค้าจากห้างแม็คโคร จังหวัดพิษณุโลกโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ สถานภาพ ที่พักอาศัย อาชีพ และรายได้ต่อเดือน มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าแบบช่องทางการตลาดแบบไร้รอยต่อ จากห้างแม็คโคร จังหวัดพิษณุโลก แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับที่ 0.05 และปัจจัยการตลาดแบบไร้รอยต่อ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าจากห้างแม็คโคร จังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย การเชื่อมโยงเข้าหาลูกค้า การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และการสร้าง ความผูกพันกับลูกค้า มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าแบบไร้ร้อยต่อจากห้างแม็คโคร จังหวัดพิษณุโลก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสามารถร่วมกันพยากรณ์การตัดสินใจซื้อสินค้าแบบไร้ร้อยต่อจากห้างแม็คโครได้เท่ากับร้อยละ 70.0 และปัจจัยด้านการมอบประสบการณ์ ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าแบบไร้ร้อยต่อจากห้างแม็คโคร จังหวัดพิษณุโลกรายการ เมทาเดทาเท่านั้น ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) พณณกร กระบวนศรี; อุษณีย์ เล็งพานิช; รัตนา สิทธิอ่วมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาทัศนคติต่อการทำงานที่บ้านมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง (2) ศึกษาบรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลางและ (3) ศึกษาการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรมมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรกรมบัญชีกลางส่วนกลางในกรุงเทพมหานครที่ทำงานที่บ้าน จำนวน 311 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่า (1) ทัศนคติต่อการทำงานที่บ้านมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านการรับรู้ถึงประโยชน์ในการใช้ และปัจจัยด้านความเข้ากันได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 (2) บรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่ทำงาน และปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ(3) การรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรมมีผลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านของบุคลากรกรมบัญชีกลาง คือ ปัจจัยด้านเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยต่อการใช้และปัจจัยด้านนโยบายรัฐบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 โดยปัจจัยที่ร่วมกันพยากรณ์ความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการทำงานที่บ้านได้มากที่สุด คือ บรรทัดฐานกลุ่มอ้างอิงปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่ทำงาน และปัจจัยด้านบรรทัดฐานที่บ้าน มีค่าร้อยละ 54.80 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 45.20 เกิดจากปัจจัยอื่นๆ
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »