วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/147
ค้นหา
5 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวรพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน : กรณีศึกษาเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2556) สุพัตรา เอี่ยมนาค; สุขสมาน สังโยคะการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบำบัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในดินด้วยพืชบริเวณพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน จากพื้นที่กำจัดมูลฝอยชุมชน ของเทศบาลตำบลในเมือง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเก็บตัวอย่างหน้าดินจากพื้นที่กำจัดขยะ พบว่าดินมีการปนเปื้อนของตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็กเท่ากับ 235.94 271.55 18.06 602.06 และ 3,863.61 มิลลิกรัม/กิโลกรัม การศึกษานี้จะเปรียบเทียบความสามารถในการบำบัดโลหะหนักเมื่อใช้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ดาวเรือง มะเขือ และหญ้าแฝก การทดลองทำในระดับห้องปฏิบัติการ และทำการเพาะเมล็ดพืชเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จากนั้นจึงย้ายพืชมาปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ทำการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักทุกๆ 7 วัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ จากนั้นเก็บเกี่ยวพืชมาทำการวิเคราะห์หาปริมาณโลหะหนักที่สะสมในส่วนประกอบต่างๆ ของพืช ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณตะกั่ว ทองแดง แคดเมียม สังกะสี และเหล็ก ในชุดการทดลองดาวเรืองลดลง 45.81% 19.96% 47.54% 50.90% และ 46.69% มะเขือลดลง 20.67% 50.14% 71.76% 51.59% และ 49.29% หญ้าแฝกลดลง 14.62% 45.12% 45.09% 51.37% และ 50.73% ตามลำดับ ซึ่งประสิทธิภาพการบำบัดโลหะหนักของพืช พบว่า ดาวเรืองมีคุณสมบัติในการบำบัดแคดเมียมได้ดีที่สุด รองลงมาคือ สังกะสี เหล็ก ทองแดง และตะกั่ว มะเขือบำบัดเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือสังกะสี ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว หญ้าแฝกบำบัดสังกะสีได้ดีที่สุด รองลงมาคือเหล็ก ทองแดง แคดเมียม และตะกั่ว สำหรับการสะสมโลหะหนักในส่วนต่างๆ ของพืช การสะสมโลหะหนักทั้ง 5 ชนิด มีแนวโน้มคล้ายคลึงกันคือ มีการสะสมโลหะหนักสูงสุดในราก รองลงมาคือใบ ลำต้น และ ดอก/ผล ตามลำดับ และในสภาวะที่มีการเติมสารก่อคีเลตหรืออีดีทีเอลงไปในดินช่วยส่งเสริมให้การบำบัดโลหะหนักด้วยพืชเกิดได้ดีขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เรื่อง พฤติกรรมบางประการของสัตว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) กุลธิดา ชูเสน; กาญจนา ธนนพคุณงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการเรียนการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้เกมวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 จํานวน 38 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พฤติกรรมบางประการของสัตว์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์และแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หาความยากง่าย การหาค่าอํานาจจําแนก ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ KR-20 การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้สูตร t-test พบว่า ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พฤติกรรมบางประการของสัตว์ ทุกหัวข้อเรื่องมีอัตราส่วนของคะแนนเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแผนการสอนการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.00/86.76 สูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด 80/80 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่างผลคะแนนที่ได้จากการทําแบบทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.29 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.66รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การยืดอายุการเก็บรักษาเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กนกวรรณ ตั้งมูล; ธวัชชัย สุภาวิชิตพานนท์; ปิยะวรรณ สุภาวิชิตพานนท์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) อุ่นเรือน ชูยิ้ม; นววรรณ ทองมี; เฉลิมพร ทองพูนวัตถุประสงค์ของงานวิจัย คือ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านสามวิทยาลง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 38 จำนวน 21 คน ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8 เล่ม แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (7E) จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง บรรยากาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการทดสอบค่าที (t – test dependent) สรุปผลการศึกษาได้ ดังนี้ คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.30/82.86 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และเมื่อนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยที่นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง บรรยากาศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาวะเริ่มต้นที่เหมาะสมของการผลิตแก๊สมีเทนจากลิกโนเซลลูโลสร่วมระหว่างมูลแพะและฟางข้าวโดยกลุ่มจุลินทรีย์ไร้อากาศภายใต้สภาวะการหมักแบบกะโดยวิธี Response Surface Methodology(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) ทวี ค้ำภิลานน; สุขสมาน สังโยคะ; จักรกฤช ศรีละอองานวิจัยครั้งนี้มีแนวคิดที่จะนำฟางข้าวซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตข้าวและมูลแพะมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตแก๊สมีเทนภายใต้สภาวะไร้อากาศ โดยออกแบบการทดลองโดยวิธีการตอบสนองต่อพื้นที่ผิว (Response Surface Methodology; RSM) แบบ Central Composite Design (CCD) เพื่อศึกษาสภาวะเริ่มต้นที่เหมาะสมในการผลิตแก๊สมีเทนจากฟางข้าวร่วมกับมูลแพะภายใต้กระบวนการหมักแบบกะ ปัจจัยที่ศึกษาประกอบด้วยอัตราส่วนของคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N ratio) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) จากการศึกษาพบว่า อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจนที่เหมาะสมต่อการผลิตมีเทนเท่ากับ 25.59 และค่าความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมเท่ากับ 7.19 โดยให้ผลได้ของแก๊สมีเทนเท่ากับ 80.68 มิลลิลิตรต่อกรัมซีโอดีที่ลดลง (mL/g-COD-removal)