วิทยานิพนธ์
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/151
ค้นหา
23 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการหอพักสำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยนเรศวร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) สิริธนา นวลทิม; วีระพงษ์ อินทรัทอง; วิจิตรา จาลองราษฎร์การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1. เพื่อศึกษาปัญหาการบริหารจัดการหอพักสำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยนเรศวร ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการ ด้านบริการและสวัสดิการ ด้านสภาพแวดล้อม และด้านการมีส่วนร่วม 2. เพื่อเปรียบเทียบปัญหาของบุคลากรที่พักอาศัยในหอพักสำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยนเรศวร แจกแจงตามเพศและกลุ่มงานที่สังกัด และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการหอพักสำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยนเรศวร กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรที่พักอาศัยในหอพักสำหรับบุคลากร จำนวน 280 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ตรวจสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่โดยวิธีการของ Scheffe และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า: 1.บุคลากรที่พักอาศัยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลำดับปัญหาดังนี้ ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม ปัญหาด้านการบริการและสวัสดิการ ปัญหาด้านการบริหารจัดการ และปัญหาด้านการมีส่วนร่วม 2.เปรียบเทียบปัญหาของบุคลากรที่พักอาศัยหอพักสำหรับบุคลากร แจกแจงตามเพศและกลุ่มงานที่สังกัด พบว่า บุคลากรที่มีเพศต่างกัน มีปัญหาด้านสภาพแวดล้อมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และบุคลากรที่มีกลุ่มงานที่สังกัดต่างกันไม่แตกต่างกันทางสถิติ 3.แนวทางการพัฒนาหอพักสำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยนเรศวรนั้น ด้านการบริหารจัดการควรปรับแก้อัตราค่าที่พักให้เหมาะสมกับขนาดของห้องพัก และไม่ควรแบ่งการจัดกลุ่มที่พักตามสาขาและประเภทของบุคลากร ด้านการบริการและสวัสดิการควรเพิ่มจุดกระจายสัญญาณ Wifi ด้านสภาพแวดล้อมควรมีการสร้างโรงจอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้เพียงพอ และด้านการมีส่วนร่วมควรเพิ่มกิจกรรมให้มากขึ้นรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2557) กัญชลิกา วงศ์กิตติรัตน์; นงลักษณ์ ใจฉลาด; ผ่องลักษมี จิตต์การุญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการจัดแสดง ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านบุคลากร และเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย จําแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษา โดยมีประชากรคือนักท่องเที่ยวชาวไทย จํานวน 5,750 คน ได้กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 360 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Random Sampling) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับดีทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านบุคลากร รองลงมาคือ ด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการจัดแสดง และด้านการประชาสัมพันธ์ ตามลําดับ 2. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี มีความคิดเห็นต่อการให้บริการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ทั้งภาพรวมและรายด้าน ตํ่ากว่ากลุ่มอายุอื่นๆรายการ เมทาเดทาเท่านั้น บทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) นิพนธ์ เพชระบูรณิน; ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญด้านสมรรถนะของผู้ประกอบการนวัตกรรม และความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 2) เพื่อทดสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของสมรรถนะของผู้ประกอบการโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ 4) เพื่อทดสอบบทบาทตัวแปรคั่นกลางโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากสถานประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ จำนวน 700 ราย และใช้สถิติพรรณนาซึ่งประกอบไปด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของตัวแปรสถิติอนุมานน ามาใช้ในการประเมินด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง SEM โดยใช้โปรแกรม AMOS และ PROCESS 4.2 ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสัมพันธ์ทางตรงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจได้รับอิทธิพลโดยรวมจากสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์มากที่สุด โดยมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.581 รองลงมา คือ ด้านภาวะผู้นำมีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.490 ด้านเทคโนโลยีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.393 และด้านความมุ่งมั่นขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.314 มีสัมประสิทธิ์การทำนายเท่ากับร้อยละ 64.20 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนระหว่างตัวแบบสมการโครงสร้างกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าดัชนีชี้วัดผ่านเกณฑ์ 5 ใน 9 ดัชนีชี้วัด (โดยมีดัชนีชี้วัดที่ยอมรับว่ามีความสอดคล้อง 4 ดัชนี) แสดงให้เห็นว่า ตัวแบบสมการโครงสร้างการทดสอบสมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ ความมุ่งมั่น ภาวะผู้นำ และเทคโนโลยีโดยมีนวัตกรรมเป็นตัวถ่ายทอดสู่ความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) การทดสอบอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จของการดําเนินธุรกิจ พบว่า สมรรถนะของผู้ประกอบการด้านกลยุทธ์ส่งผลทางตรงและทางอ้อมเชิงบวกกับความสําเร็จของการดาเนินธุรกิจมากที่สุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นํา 4) การทดสอบด้านนวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการ พบว่า ด้านกลยุทธ์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.985 มีค่าเท่ากับ 0.649 ด้านความมุ่งมั่นมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.771 มีค่าเท่ากับ 0.541 ด้านภาวะผู้นํามีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.721 มีค่าเท่ากับ 0.421 และด้านเทคโนโลยีมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางลดลงจาก 0.684 มีค่าเท่ากับ 0.466 แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมเป็นตัวแปรคั่นกลางระหว่างสมรรถนะของผู้ประกอบการสู่ความสําเร็จของการดําเนินธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของธุรกิจผลิตกาแฟ ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือนั้นมีความสําคัญอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของการบริการภิวัฒน์การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือของประเทศไทย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พลอยณัชชา เดชะเศรษฐ์ศิริ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสําคัญการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็น ดิจิทัล นวัตกรรมการบริการ และผลการดําเนินงานของธุรกิจ 2) ศึกษาอิทธิพลของการบริการภิวัฒน์ การแปลงเป็นดิจิทัล และนวัตกรรมการบริการที่ส่งต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ และ 3) เพื่อ ทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการที่เชื่อมโยงการ บริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในภาคเหนือของประเทศไทย ผู้วิจัย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการ คณะกรรมการบริหารหรือผู้จัดการของธุรกิจ SMEs ภาคการผลิตในเขตภาคเหนือจํานวน 422 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณาและสถิติอนุมาน ด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญกับทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20) รองลงมาคือ การแปลงเป็นดิจิทัล (ค่าเฉลี่ย รวมเท่ากับ 4.06) และนวัตกรรมการบริการ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.84) ตามลําดับ สําหรับผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้าของบริษัทกลุ่มตัวอย่างโดยภาพรวมอยู่ในระดับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ เป้าหมาย (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.83) และผลการดําเนินงานทางการเงินของบริษัทกลุ่มตัวอย่าง โดยรวมอยู่ในระดับเท่ากับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 3.33 การบริการภิวัฒน์มีอิทธิพลทางตรงเซิงบวกต่อการแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และต่อผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้าอย่างม นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทางการเงิน สําหรับการ แปลงเป็นดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงต่อนวัตกรรมการบริการอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 แต่ ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดําเนินงานทั้งผลการดําเนินงานทางการเงินและผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า ส่วนนวัตกรรมการบริการมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อทั้งผลการดําเนินงานทาง การเงินและผลการดําเนินงานทางด้านการบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เมื่อ พิจารณาอิทธิพลทางอ้อมและอิทธิพลโดยรวมพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานทาง การเงินมากที่สุดคือ นวัตกรรมการบริการ รองลงมาคือ การบริการภิวัฒน์ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการดําเนินงานทางการเงิน ได้ร้อยละ 10.70 ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลการดําเนินงานด้านการบริการลูกค้ามากที่สุด คือ การบริการภิวัฒน์ รองลงมาคือ นวัตกรรมการบริการ และการแปลงเป็นดิจิทัล โดยทั้ง 3 ปัจจัยสามารถร่วมกันพยากรณ์ผลการ ดําเนินงานด้านการบริการลูกค้า ได้ร้อยละ 28.90 เมื่อพิจารณาอิทธิพลของตัวแปรคั่นกลาง คือ การแปลงเป็นดิจิทัลและนวัตกรรมการบริการท เชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์สู่ผลต่อผลการดําเนินงานของธุรกิจ SMEs พบว่า การแปลงเป็นดิจิทัลเป็น ตัวแปรคั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มิอิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการ ดําเนินงานทางการเงินอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้าน การบริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ส่วนนวัตกรรมการบริการ เป็นตัวแปร คั่นกลางบางส่วน (Partial mediation) ที่มี่อิทธิพลเชื่อมโยงการบริการภิวัฒน์ไปสู่ผลการดําเนินงาน ทางการเงิน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และเชื่อมโยงไปสู่ผลการดําเนินงานด้านการ บริการลูกค้า อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01รายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ปิยะนุช พรหมประเสริฐ; ประสิทธิชัย นรากรณ์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณการศึกษาครั้งนี้เกี่ยวกับอิทธิพลของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร และความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของสภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กรและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) เพื่อทดสอบอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางของแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นปัจจัยเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมในการทำงานไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน และ 4) เพื่อทดสอบอิทธิพลความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ของสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ จำนวน 640 ราย เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามจำนวน 64 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน แรงจูงใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 3) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน 4) แรงจูงใจในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 5) สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันต่อองค์กร 6) ความผูกพันต่อองค์กรมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน 7)สภาพแวดล้อมในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโดยมีแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวแปรส่งผ่าน 8) ความพึงพอใจในการทำงานที่เป็นตัวแปรกำกับไม่ส่งอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลเอกลักษณ์ตราสินค้าที่เป็นปัจจัยกำกับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและความรักในตราสินค้าไปสู่ความภักดีในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ภัทรพนธ์ อุ่นปรีชาวณิชย์; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; ประสิทธิชัย นรากรณ์รายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลคั่นกลางพหุขนานของแบรนด์ที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ สู่ความตั้งใจซื้อของธุรกิจเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ณรงศ์ชัย เขียวฤทธิรัตน; ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ; สุรสิทธิ์ อุดมธนวงศ์การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทัศนคติต่อแบรนด์ ความไว้วางใจในแบรนด์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และความตั้งใจซื้อ 2) เพื่อทดสอบอิทธิพลของทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ทัศนคติต่อแบรนด์ ความไว้วางใจในแบรนด์ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ ต่อความตั้งใจซื้อและ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลคั่นกลางพหุขนานของแบรนด์ที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และอุปกรณ์สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย จํานวน 420 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างด้วย Smart PLS Version 4.0 ผลการวิจัยพบว่า 1) ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .429 ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.43 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .389 ทัศนคติต่อแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .464 ความไว้วางใจในแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .369 ภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .438 และความตั้งใจซื้อ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .451 2) ภาพลักษณ์ของแบรนด์มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อสูงที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.440 รองลงมา คือ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.238 ทัศนคติต่อแบรนด์มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.187 และ ทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.089 ตามลําดับ ในขณะที่ความไว้วางใจในแบรนด์ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.023 ไม่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้ออย่างมีนัยสําคัญ 3) ความน่าเชื่อถือของแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.104 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.319 ทัศนคติต่อแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อรับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.076 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.213 และภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างเท่ากับ 0.290และขอบเขตบน เท่ากับ 0.430 ซึ่งมีช่วงของความเชื่อมั่นไม่คลุม 0 แสดงให้เห็นว่าทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์มีอิทธิพลทางอ้อมต่อความตั้งใจซื้อผ่านตัวแปรคั่นกลางดังกล่าวในขณะที่ความไว้วางใจในแบรนด์เป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้รับรองผลิตภัณฑ์สู่ความตั้งใจซื้อ มีช่วงของความเชื่อมั่นคลุม 0 คือ มีค่าผลคูณของสัมประสิทธิขอบเขตล่างเท่ากับ -0.071 และขอบเขตบนเท่ากับ 0.120 สมมติฐานจึงไม่มีนัยสําคัญรายการ เมทาเดทาเท่านั้น อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ถมทอง เผือกอ่อน; วิจิตรา จำลองราษฎร์; อรรถพล จรจันทร์การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยี การรับรู้ความเสี่ยงและการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ กับการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ประชากรคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า การยอมรับเทคโนโลยีอยู่ในระดับมากที่สุด การรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง และการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนเพศ อายุ และรายได้ที่แตกต่างกันมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แตกต่างกัน สำหรับการวิเคราะห์อิทธิพลของการยอมรับเทคโนโลยี และการรับรู้ความเสี่ยงที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า การยอมรับเทคโนโลยีมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการรับรู้ความเสี่ยงไม่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสมการพยากรณ์สามารถพยากรณ์การตัดสินใจใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ถูกต้องร้อยละ 24.20รายการ เมทาเดทาเท่านั้น ภาพลักษณ์องค์กรและคุณภาพการให้บริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตภาคเหนือตอนล่าง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ลัดดา อินต๊ะใจ; อรุณี นุสิทธิ์; ศุภนารี พิรสงานวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และส่วนประสมการตลาด 4Es ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 400 คน จากกลุ่มลูกค้าที่เลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ในเขตภาคเหนือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test ค่า One way ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1) เพศ อายุ สภานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การสื่อสารการตลาดแบบปากต่อปากผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และผ่านทางวีดีโอออนไลน์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 28.50 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3).ส่วนประสมการตลาด 4Es ด้านการสร้างความสัมพันธ์และด้านการสร้างประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินในเขตภาคเหนือ ส่งผลร้อยละ 51.10 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05รายการ เมทาเดทาเท่านั้น คุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อธนาคารออมสินสาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) คุณากร สืบสายอ่อน; ลัสดา ยาวิละ; จิระภา งามสุทธิวัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการใช้บริการ และเพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร จ านวน 400 ราย ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจในด้านความสะดวกและสิ่งอำนวยความสะดวกของแหล่งบริการ ด้านการเข้าถึงแหล่งบริการ ด้านความพอเพียงของบริการที่มีอยู่ อยู่ในระดับมาก ส่วนความสามารถของลูกค้าที่จะเสียค่าใช้จ่ายสำหรับบริการอยู่ในระดับปานกลาง และคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า และด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ อยู่ในระดับมาก ส่วนการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของลูกค้ากับคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยมีค่าความสัมพันธ์ ระหว่าง 0.602– 0.764
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »