วิจัย
Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/146
ค้นหา
3 ผลลัพธ์
ผลลัพธ์การค้นหา
รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากไหมข้าวโพดสีแดง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) มนตรา ศรีษะแย้ม; นนทพร รัตน์จักร; พิมรินทร์ ศิรินทร์; กาญจนา วงศ์กระจ่าง; อนงค์ ศรีโสภางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสารจากไหมข้าวโพดสีแดงเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้ง ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคและอายุการเก็บรักษา การสกัดสารใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย การทดสอบหาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแบ่งเป็น 9 สภาวะ ที่มีความแตกต่างทั้งอุณหภูมิและระยะเวลาในการสกัด โดยใช้อุณหภูมิในการสกัดที่ 60 70 และ 80 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 10 นาที 20 นาที และ 30 นาที นำตัวอย่างทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH radical scavenging assay พบว่า สภาวะการสกัดที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูลอิสระสูงสุด เท่ากับ 62.10±0.72% และปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดสูงสุด เท่ากับ 93.42±0.09 mg/ 100g ตัวอย่าง เมื่อนำสารสกัดไหมข้าวโพดสีแดงไปประยุกต์ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งซึ่งถูกพัฒนาขึ้น 3 สูตร และคัดเลือก 1 สูตร จากสูตรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคสูงสุด โดยการทดสอบความพึงพอใจของอาสาสมัครด้วยแบบประเมินผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยวิธี 9 Point Hedonic Rating Scales และทำการศึกษาอายุการเก็บรักษาจากตัวชี้วัด ได้แก่ การตรวจความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและหาปริมาณแอนโทไซยานิน ทางด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ จำนวนแบคทีเรียทั้งหมด ยีสต์รา และโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และทางประสาทสัมผัส โดยเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผลที่ได้พบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ได้ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ โดยมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทั้งหมดตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่พบยีสต์ราและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และผลทางประสาทสัมผัสพบว่า ค่าเฉลี่ยลักษณะที่ปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ ความซ่า ความรู้สึกหลังกลิ่น และความชอบโดยรวมตั้งแต่วันที่ 0 จนถึงวันที่ 14 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) นอกจากนี้พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการเก็บรักษา 2 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส มีความสามารถด้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 40.67±0.84% มีปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดเท่ากับ 1,141.09±0.1 µg/250ml ตัวอย่างรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องสมุนไพรในชีวิตประจำวันของนักศึกษารายวิชาวิถีสุขภาพระหว่างการสอนแบบบรรยายกับการสอนบรรยายร่วมกับการอบรม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) มนตรา ศรีษะแย้มรายการ การเข้าถึงแบบเปิด กิจกรรมด้านอนุมูลอิสระ ด้านเอนไซม์ไทโรซิเนส และด้านแบคทีเรีย ของคีเฟอร์นมธัญพืช(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) มนตรา ศรีษะแย้มคีเฟอร์เป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีรายงานว่านมที่ผ่านการหมักมีฤทธิ์ทางชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่การศึกษาการทำคีเฟอร์ด้วยนมธัญพืชยังขาดการศึกษาอย่างมาก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ของคีเฟอร์นมธัญพืช ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนส ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดสิว (Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus DMST 8013) และทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระใช้วิธี DPPH radical scavenging การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนสใช้วิธี mushroom tyrosinase inhibition ทดสอบความสามารถในการยับยั้งแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion และทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT ด้วยวิธี MTT assay ผลที่ได้พบว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของคีเฟอร์นมงาดำที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงสุด มีค่า IC50 เท่ากับ 0.78 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ผลการยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าคีเฟอร์นมข้าวโพดยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนสได้สูงสุด พบ % inhibition เท่ากับ 99.60±0.06% ที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตัวอย่างคีเฟอร์ทั้ง 3 ชนิด ในการยับยั้งแบคทีเรีย พบว่าคีเฟอร์นมงาดำ 250 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง สามารถยับยั้งเชื้อ P. acnes DMST 14916 ได้สูงสุด (14.67±0.58 มิลลิเมตร) ขณะที่คีเฟอร์นมข้าวโพด 250 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง สามารถยับยั้งเชื้อ S. aureus DMST 8013 ได้สูงสุด (25.00±1.00 มิลลิเมตร) นอกจากนี้พบว่านมธัญพืชทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงขึ้นเมื่อผ่านกระบวนการหมัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT พบว่ามีความเป็นพิษสูงในระดับความเข้มข้นที่ 50 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร จากงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า คีเฟอร์นมธัญพืชสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้ แต่ควรจำกัดความเข้มข้นที่ใช้ให้เหมาะสม