คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม

รายการล่าสุด
การพัฒนาแบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) พรพิมล ญาณปัญญา; สกล เกิดผล
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1)เพื่อสร้างและหาคุณภาพของแบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2)เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนตามเกณฑ์ร้อยละ 75 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาล 3 วัดชัยชนะสงคราม จำนวน 30 คน โดยได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐาน จำนวน 8 เรื่อง แบบวัดความสามารถการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที (t-test แบบ One –sample) ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสปเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.76) 2)ความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจภายหลังการเรียนตามเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3)นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( x̄= 3.98)
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง
(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) สิริลักษณ์ วงศ์ประสิทธิ์; ภาสกร ดอกจันทร์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์
การวิจัยเล่มนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนว แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ดำเนินการโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารงานด้านการแนะแนวในสถานศึกษาตามแนวทางการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ สังเคราะห์องค์ประกอบจากศึกษาเอกสาร ตํารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและยืนยันองค์ประกอบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ จำนวน 5 คน โดยใช้สูตรการคำนวณดัชนีความสอดคล้อง (Item-Objective Congruence Index: IOC) ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยการนำองค์ประกอบของการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ระยะที่ 1 มาพัฒนารูปแบบการบริหารงานด้านการ แนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ และตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบโดยการจัดสนทนากลุ่ม (Focus group Discussion: FGD) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน และ ระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 12 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ด้านนโยบายงานด้านการแนะแนว 2. ด้านการจัดบริการแนะแนวและให้คำปรึกษา 3. ด้านการวางแผนงานด้านการแนะแนว 4. ด้านโครงสร้างบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 5. ด้านระบบบริหารงานด้านการแนะแนว 6. ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานแนะแนวแบบมุ่งสัมฤทธิ์ ผลตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาว่าเหมาะสม ส่วนผลการประเมินรูปแบบการบริหารงานด้านการแนะแนวแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่างพิจารณาว่ามีความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ทุกองค์ประกอบ
การพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมในเขตพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก เพื่อรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยว
(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) โชติ บดีรัฐ; สุพัตรา เจริญภักดี บดีรัฐ; ยุวดี พ่วงรอด; นันทพันธ์ คดคง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการสำรวจรูปแบบการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม และ 4) เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมของอำเภอเมืองพิษณุโลก เพื่อรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยว เก็บข้อมูลวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของ "Taro Yamane" ที่ระดับความเชื่อมั่น 95 % และที่ระดับความคลาดเคลื่อน ± 5 % ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยจะใช้ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม คือ 400 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ได้แก่ 1) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 3 คน 2) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 3 คน 3) ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 19 คน รวมถึงกลุ่มตัวอย่างจากการสนทนากลุม จำนวน 38 คน และนำมาวิเคราะห์หาค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยมีดังนี้
1.รูปแบบการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า อารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม จะต้องประกอบไปด้วย สถานที่ สิ่งของ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเราให้รองรับการใช้งานของมวลสมาชิกในสังคม โดยที่ไม่ต้องออกแบบหรือจัดทำขึ้นสำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าพวกเขานั้น จะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย วัยเด็กหรือวัยชรา ใช้ขาเดินหรือใช้รถเข็น การออกแบบดังกล่าวจะเน้นประโยชน์สูงสุดของคนในสังคมร่วมกัน โดยไม่มีข้อจำกัด เช่น การทำทางลาดขึ้นลง ทางเท้า และอาคารสถานที่ต่างๆ ให้กับผู้พิการที่ใช้รถเข็น หรือบล็อกทางเดินสำหรับคนตาบอด เพื่อให้พวกเขานั้น ใช้ชีวิต นอกบ้านได้อย่างสะดวก และปลอดภัย
2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความเข้าใจ ข้อมูลชัดเจน และรองลงมาตามลำดับ คือ ด้านใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก ด้านมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ด้านความเสมอภาค เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์ ด้านเบาแรงช่วยทุนแรงกาย ด้านมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง และด้านความปลอดภัย มีระบบป้องกันอันตราย
3.แนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม พบว่า ด้านความเสมอภาค เท่าเทียมกันในการใช้ประโยชน์ และด้านพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง ควรมีการจัดสรรโดยไม่เลือกปฏิบัติ จะต้องมีการจัดทำขึ้นเพื่อคนทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกอาชีพ จะยากดีมีจน หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก ด้านการใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยว นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่หลากหลายกลุ่ม หลายระดับ หลายเพศ หลายวัย เข้ามานมัสการพระพุทธชินราช มาเที่ยวชมโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซื้อของฝาก รวมถึง ด้านความเข้าใจ ข้อมูลชัดเจน ควรจัดทำขึ้นให้มีการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ข้อมูลชัดเจนทั้งด้านภาษา ด้านรูปภาพ ด้านสัญลักษณ์ และการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความเหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม และสามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ด้านความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ด้านเบาแรงช่วยทุนแรงกาย โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ ที่สำคัญคือ ด้านความปลอดภัย ต้องมีระบบป้องกันอันตราย ซึ่งด้านนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่จะสร้างความสบายใจ ความน่าประทับ และความไว้วางใจ เพราะคำว่าอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสม จะต้องตระหนักถึงความปลอดภัย มีระบบป้องกันอันตรายที่มาเป็นอันดับต้นๆ ทั้งด้านการออกแบบ การก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน และสามารถรองรับทั้งด้านการท่องเที่ยว ด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจได้ ด้านพื้นที่ใช้สอยสำหรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับคนทุกรูปร่าง พบว่า ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อแนวทางการพัฒนารูปแบบอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมในเขตพื้นที่อำเภอเมืองพิษณุโลก
4.การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมของอำเภอเมืองพิษณุโลก พบว่า สถานที่ที่นําเทคโนโลยีสารสนเทศ (GPS) หรือ Landmaps มาจัดทำข้อมูลด้านอารยสถาปัตย์ที่เหมาะสมมากที่สุด และประชาชนเข้าใช้บริการอารยสถาปัตย์ที่มีจำนวนมากที่สุด คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เนื่องด้วยถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก จึงทำให้มีการออกแบบและรองรับด้านอารยสถาปัตย์ได้มาตรฐาน สามารถรองรับความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการท่องเที่ยวได้