• ไทย
  • English
Log In
คลิกลงทะเบียนลืมรหัสผ่าน
โลโก้คลังสารสนเทศ
หน้าแรก
เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • เกี่ยวกับคลังสารสนเทศดิจิทัล
  • วิสัยทัศน์
  • พันธกิจ
  • นโยบายการพัฒนา
  • โครงสร้างองค์กรและบุคลากร
  • ผู้เชี่ยวชาญ
  • เป้าหมาย
  • การเข้าถึงและการใช้งาน
  • การนำไปใช้และการเผยแพร่
  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • การติดต่อ
การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การนำฝากและการนำเข้าข้อมูล
  • การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา
  • ข้อตกลงในการอนุญาตให้จัดทำและเผยแพร่
  • แนวทางปฏิบัติในการจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
  • แผนการบำรุงรักษาไฟล์ดิจิทัล
  • มาตรฐานรูปแบบไฟล์
  • เกี่ยวกับเมทาดาทา
  • แผนสืบทอดคลังสารสนเทศ
  • มาตรการและแนวทางดำเนินงานเมื่อมีการใช้ทรัพยากรผิดเงื่อนไข
  • แผนการสงวนรักษาทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล
  • กระบวนการทำงาน
  • คู่มือการสืบค้น
  • คู่มือการบันทึกผลงาน
  • ร้องเรียนและขอถอนทรัพยากรสารสนเทศ
การรับรองมาตรฐาน
  • แบบประเมินตนเอง
  • รายงานการประเมินตนเอง
การเยี่ยมชมบันทึกผลงาน
  1. หน้าแรก
  2. Browse by Title

เรียกดูข้อมูลตาม ชื่อเรื่อง/ชื่อผลงาน

กรองผลลัพธ์โดยการพิมพ์ตัวอักษรสองสามตัวแรก
กำลังแสดง1 - 20 of 354
  • Results Per Page
  • ตัวเลือกการเรียงลำดับ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    กระบวนการเรียนรู้ทักษะวิชาคีตปฏิญาณของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรดนตรีสากล มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) กมลธรรม เกื้อบุตร
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    กระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2564) ทัศนีย์ ปัทมสนธิ์; อรุณี กาสยานนท์; กฤติมา อินทะกูล
    งานวิจัยเรื่องกระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการและเส้นทางการลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของประเทศไทย 2) เพื่อศึกษารูปแบบ ลักษณะ วิธีการ เครือข่าย การลักลอบค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของไทย และ 3) เพื่อศึกษาและสังเคราะห์แนวทางป้องกันและปราบปรามการลักลอบการค้ามนุษย์ในแรงงานภาคการประมงของไทย โดยเก็บข้อมูลจากแรงงานต่างด้าวที่เป็นผู้ใช้แรงงานในภาคการประมงของไทย ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและระนอง จํานวน 114 คนด้วยแบบสอบถาม สัมภาษณ์เชิงลึกกับเหยื่อการค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนผู้ประกอบการภาคเอกชนในธุรกิจการประมง ผลการวิจัยพบว่ากระบวนการและเส้นทางการเข้ามาทํางานเริ่มจากการติดต่อกลุ่มคนที่ต้องการเข้ามาใช้แรงงานในเมืองไทย ผ่านนายหน้าที่มีหลากหลายและมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาพัวพันร่วมขบวนการเป็นขุมเครือข่ายใหญ่มีอิทธิพล ช่องทางการเข้าเมืองส่วนใหญ่เป็นการหลบหนีเข้าเมืองตามเส้นทางธรรมชาติ รูปแบบการเดินทางโดยมากจะมาเป็นกลุ่ม โดยมีนายหน้าฝั่งไทย คอยจัดสางกลุ่มแรงงานกระจายไปยังเป้าหมาย ผ่านการหลอกลวง การสร้างหนี้ การบังคับขู่เข็ญ การกักขังหน่วงเหนี่ยว ภายใต้เงื่อนไขทํางานก่อน พอมีรายได้จะถูกหักค้าขนส่ง ค้านายหน้า ทําให้ต้องถูกกักตัวเพื่อทํางานแลกเงิน ในส่วนของแนวทางป้องกันและปราบปรามการลักลอบการค้ามนุษย์ที่สําคัญคือการแก้ไขปัญหาในเชิงมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามโครงสร้างโดยการบูรณาการทั้งความคิดและวิธีการปฏิบัติของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้กฎหมายต้องสามารถบังคับใช้ได้อย่างจริงจังกับนายหน้า ผู้ประกอบการ และการทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดงในรายวิชาดนตรีและความเกี่ยวพันกับศิลปะแขนงอื่น
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) วรารัตน์ วริรักษ์
    งานวิจัยเรื่อง “การสร้างสื่อโสตทัศน์ หัวข้อ ‘กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดง’ ในรายวิชาดนตรีและความเกี่ยวพันกับศิลปะแขนงอื่น” เป็นงานวิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยในชั้นเรียนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1. เพื่อสร้างสื่อโสตทัศน์ที่มีรูปแบบเอื้ออำนวยกับหัวข้อบทเรียนที่มีความเป็นนามสูง คือ หัวข้อย่อย “กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดง” ในรายวิชาดนตรีและความเกี่ยวพันกับศิลปะแขนงอื่น 2. เพื่อให้สื่อโสตทัศน์ ที่สร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Power Point ประกอบภาพและเสียง ที่สร้างขึ้นเป็นตัวช่วยผู้สอนในการอธิบายเนื้อหา, การให้ตัวอย่างให้กับผู้เรียนได้แจ่มชัด สร้างความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งกว่าการสอนด้วยการบรรยายความรู้หรือใช้เอกสารประกอบการสอนแต่เพียงอย่างเดียว 3. เพื่อหาค่าประสิทธิภาพของสื่อโสตทัศน์ที่สร้างขึ้นจากงานวิจัยในครั้งนี้ โดยการวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. สื่อโสตทัศน์ที่สร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Power Point ประกอบภาพและเสียง ที่เหมาะสมกับหัวข้อการเรียนรู้เรื่อง กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดง นั้นควรประกอบด้วยตัวอย่างของเสียงประกอบแต่ละชนิดให้ชัดเจน 2. สื่อโสตทัศน์ที่สร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ power point หัวข้อ ‘กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดง’ ที่ประกอบด้วยตัวอย่างภาพและเสียงที่ชัดเจนเป็นสื่อช่วยในการเรียนการสอนได้ 3. ผลสรุปประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนจากแบบประเมินความรู้ก่อนเรียน ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ 69.98 และผลสรุปแบบประเมินความรู้หลังเรียนโดยการใช้สื่อโสตทัศน์ ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ 98.89 แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของสื่อโสตทัศน์ที่สร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ power point ประกอบภาพและเสียงที่ได้สร้างขึ้นตามหัวข้อย่อยที่ผู้เรียนต้องการที่ได้จากงานวิจัยในครั้งนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ มีความเข้าใจในเนื้อหาและวิธีการปฏิบัติการในหัวข้อ ‘กลวิธีการออกแบบดนตรีเพื่องานศิลปะการแสดง’ มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การกระทำความผิดของเด็ก : ศึกษากรณีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) ประภาพร สมพร; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ
    เหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนที่มีความรุนแรงเทียบเท่ากับการกระทำความผิดของผู้ใหญ่หรือเป็นการกระทำความผิดซ้ำซากของอาชญากรวัยเด็กที่ร้ายแรงต่อสังคมและเป็นภัยสังคมในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นกฎหมายประเทศไทยในปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนเพราะไม่มีการพัฒนาในมาตรการการกระทำความผิดของเด็กที่รุนแรงขึ้น และมาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่เป็นกฎหมายเฉพาะในการใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนนี้เหมาะสำหรับการกระทำความผิดที่เล็กน้อยเพราะกฎหมายมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนกลับตัวใหม่เป็นคนดีคืนสู่สังคม ดังนั้นการที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือกระทำความผิดที่เสมือนการกระทำความผิดแบบผู้ใหญ่ที่ย่อมเล็งเห็นผลว่าการกระทำที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงแบบอาชญากรและเป็นภัยสังคมอย่างมากดังเหตุการข่าวในปัจจุบันที่เด็กอายุ 14 กราดยิงกลางห้างสรรพสินค้าพารากอน และคดีเด็กและเยาวชนอายุเพียง 13-16 ปีวางแผนข่มขืนและฆ่าตกรรมป้ากบหรือป้าบัวผัน เหตุการณืเช่นนี้กลับเป็นการกระทำความผิดของเด็กทั้งสิ้นควรลงโทษหรือมีมาตรการสำหรับการกระทำที่ร้ายแรงเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดี การลงโทษที่ใช้มาตรการสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมันล่าสมัยเกินกว่าจะนำมาปรับใช้ในการปัจจุบัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศในกระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนในระบบกฎหมาย Common law Civil law และคอมมิวนิสต์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหมดแล้ว และนี้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแก้ไขของไทยที่ผู้เขียนเห็นว่าควรมีมาตรการสำหรับการลงโทษอาชญากรที่กระทำความผิดซ้ำซากและร้ายแรงส่งผลให้เป็นภัยสังคมอย่างยิ่งโดยเปรียบเทียบในหลักเกณฑ์อายุ โทษที่จะได้รับ และฐานความผิดที่สมควรลงโทษเพื่อประโยชน์ของประเทศที่กระบวนการดำเนินคดีอาญาที่เป็นไปในทางพัฒนาและสามารถลงโทษตามความเหมาะสมอย่างแท้จริง เพื่อเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนนั้นที่เหมาะสมและถูกต้องอย่างเป็นธรรม
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) กล้าณรงค์ แสนพะเยาว์; กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์; ธนัสถา โรจนกูล
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสมผสาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา 1) ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 2) ปัจจัยที่ ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ และ 3) แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จังหวัดพิษณุโลก โดยกลุ่มตัวอย่างในการใช้แบบสอบถาม คือ สมาชิกชุมชนท่องเที่ยว 3 ชุมชน จำนวน 335 คน และกลุ่มที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้นำชุมชนหรือผู้แทนชุมชน คณะกรรมการชุมชน และสมาชิกในชุมชน จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้รูปแบบการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. ประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ได้แก่แนวคิดและความสามารถของคน คุณภาพชีวิตคนในชุมชน ความเข้มแข็งของชุมชนและการบริหารจัดการและความสัมพันธ์ของชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ปัจจัยด้านความชัดเจนของนโยบาย ด้านศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ด้านทรัพยากร ด้านทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ด้านการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผล ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไปปฏิบัติ 3. แนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พบว่า 3.1 ความชัดเจนของนโยบาย ควรกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วม ให้ชัดเจน เพื่อสร้างอาชีพ และกระจายรายได้ให้แก่คนในชุมชน 3.2 ศักยภาพขององค์กรที่นำนโยบายไปปฏิบัติ ควรจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว 3.3 ทรัพยากร ควรมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนผ่านเฟชบุค (Facebook) ไลน์ (Line) และเว็บไซด์ (website) ของหน่วยราชการ 3.4 ทักษะและสิ่งจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย ควรฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ ความเข้าใจการท่องเที่ยวแก่คนในชุมชน 3.5 ชุมชนควรมีการกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลความพึงพอใจของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีต่อกิจกรรมและบริการของท่องเที่ยวชุมชน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่อไป
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงานภาครัฐ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) พีรดนย์ ปราบต์พีรดนย์; พิชญา เหลืองรัตนเจริญ
    การวิจัยเรื่องการคุ้มครองสิทธิของผู้พ้นโทษ : ศึกษากรณีการมีงานทำในหน่วยงาน ภาครัฐ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี หลักกฎหมายการคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ และข้อบังคับในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออกจากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการ และเพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักกฎหมาย หลักเกณฑ์การคุ้มครองและสงเคราะห์ผู้พ้นโทษ ในการช่วยเหลือผู้พ้นโทษภายหลังการปล่อยตัวออก จากเรือนจำให้มีงานทำและมีสิทธิในการสมัครรับราชการของประเทศไทยกับหลักกฎหมายหลักเกณฑ์ ของต่างประเทศ ผู้วิจัยกำหนดวิธีการดำเนินการศึกษาการวิจัยในครั้งนี้ คือ จำนวนผู้พ้นโทษในแต่ละปีมีเป็นจำนวนมาก ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อจำคุกตามคำ พิพากษาครบกำหนดจากเรือนจำเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ แสนกว่าคน (หรือเดือนละประมาณ 10,000 คน) และบางปียังมีการปล่อยตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเนื่องในโอกาสมหามงคลพิเศษตามวาระต่าง ๆ ก็จะมีผู้พ้นโทษออกมากกว่าในปีปกติ อีกทั้งยังมีผู้พ้นโทษที่พ้นจากระบบการคุมความประพฤติซึ่งมีทั้งผู้ ได้รับพักการลงโทษและลดวันต้องโทษ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่ออกมาจากสถานพินิจและคุ้มครอง เด็กและเยาวชน แต่ที่สำคัญมักจะปรากฏข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าผู้พ้นโทษบางส่วน ได้กลับไปกระทำผิดซ้ำเมื่อถูกปล่อยตัวไปไม่นาน สาเหตุหนึ่งเกิดจากผู้พ้นโทษเหล่านี้ ไม่สามารถประกอบอาชีพ สุจริตได้ เพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนเนื่องด้วยเคยติดคุกและมีประวัติอาชกรรม จึงทำให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำในกลุ่มผู้พ้นโทษ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพครูด้านทักษะการดำรงชีวิต สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2552) ศิริสุภา เอมหยวก; ลำยอง สำเร็จดี; เจนต์ คันทะ
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Project Based Learning ผ่านสังคมออนไลน์รายวิชาสารสนเทศทางสุขภาพสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) จิตศิริน ลายลักษณ์; กิ่งแก้ว สำรวยรื่น; บัญชา สำรวยรื่น
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google Site ในรายวิชาวอลเลย์บอล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) กรรณิการ์ ดิษชกรร; พัชราวลัย มีทรัพย์
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ Google site ในรายวิชาวอลเลย์บอลของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสรรพวิทยาคม ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล เจตคติต่อการเรียน และ ความพึงพอใจของนักเรียน โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึ่งได้มาจากประชากรที่ทำการทดสอบสมรรถภาพก่อนเรียนรายวิชาพลศึกษาที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย จำนวน 2 ห้อง และสุ่มแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มห้องเรียนกลับด้าน (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7) และกลุ่มปกติ (นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2) จำนวนนักเรียนกลุ่มละ 42 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านแผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนปกติ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ แบบประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอล แบบวัดเจตคติต่อการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ผลการประเมินทักษะพื้นฐานวอลเลย์บอลหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มห้องเรียนกลับด้านสูงกว่ากลุ่มห้องเรียนปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เจตคติต่อการเรียนของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.67, S.D. = .12) ความพึงพอใจของนักเรียนของกลุ่มห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.90, S.D. = .10)
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Site รวมกับโครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) พรพิมล บุญส่ง; ภัชราววัลย์ มีทรัพย์
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก่อนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้เป็นนักเรียนที่เรียนในปีการศึกษา 2562 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านลานไผ่ อำเภอพรานกระบ่าย จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ และบทเรียนออนไลน์สร้างด้วยโปรแกรม Google Sites 2) เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบผลการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม แบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมเทียบกับเกณฑ์สูงกว่าร้อยละ 70 นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Sites ร่วมกับโครงงานเป็นฐานในระดับมาก
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2565) วันทนา เพ็ชรผึ้ง; สกล เกิดผล
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเ กณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาลวัดไทยชุมพล (ดำรงประชาสรรค์) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2) แบบวัดความสามารถในการสะกดคำ เรื่องการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.83/80.88 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำ ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอน CIRC เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการอ่านสะกดคำหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลวิภัชนีย์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ยุพร ริมชลการ; พงษ์พันธ์ จุลทา
    การวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยทำการแนะนำแนวคิด △-กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ไอดีลภายในวิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัยของกึ่งกรุปซึ่งเป็นนัยทั่วไปของ (∈, ∈∨q)- กึ่งกรุปย่อยวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลขวาวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่ วางนัยทั่วไปวิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลคู่วิภัชนัย (∈, ∈∨q)-ไอดีลภายในวิภัชนัย (∈, ∈∨q) ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ (∈, ∈∨q)-ไอดีลวิภัชนัย ตามลำดับ พร้อมกับจำแนกลักษณะเฉพาะของกึ่งกรุปโดย △-ไอดีลซ้ายวิภัชนัย △-ไอดีลขวาวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วางนัยทั่วไปวิภัชนัย △-ไอดีลคู่วิภัชนัย △-ควอซี-ไอดีลวิภัชนัยและ △-ไอดีลวิภัชนัย
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) สุรัตนา ศรีจันทร์กิจ; วิจิตรา จำลองราษฎร์; ภัทรสิริ กุนเดชา
    การวิจัย เรื่อง การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก โดยจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ประกอบด้วย เพศ สถานภาพระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย และ 3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการเลือกทำเลที่ตั้งอสังหาริมทรัพย์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภคที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชากรที่อาศัยในจังหวัดพิษณุโลกที่เป็นประชากรกลุ่ม Gen Y อายุอยู่ระหว่าง 23 - 42 ปี จำนวน 385 คน และมีความสนใจที่จะซื้อทรัพย์สินรอการขาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบจำแนกทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า อาชีพและรายได้ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายแตกต่างกันส่วนปัจจัยการเลือกทำเลที่ตั้งอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภคมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค Gen Y ในจังหวัดพิษณุโลกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสามารถพยากรณ์การตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขายประเภทที่อยู่อาศัยได้ถูกต้องร้อยละ 49.80
  • ไม่มีรูปตัวอย่าง
    รายการเมทาเดทาเท่านั้น
    การนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดพิจิตร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) วิจิตตรา ธัญวริษณิรินทร์; ศรชัย ท้าวมิตร; โชติ บดีรัฐ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้วิธีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตร Taro Yamane เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ วิธีแบบขั้นตอน (Stepwise regression analysis) เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 36 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบบการดำเนินงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งในจังหวัดพิจิตร ไม่มีผู้จัดการบริการดูแลระยะยาว และผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ในด้านสาธารณสุขโดยตรง ระบบมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน นโยบายและแผนงานคู่มือระเบียบไม่ชัดเจน งบประมาณล่าช้าไม่เพียงพอ 2) ด้านระบบฐานข้อมูล ยังมีความล่าช้า เพราะแยกส่วนกันทำ ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน 3) ด้านความร่วมมือ ยังขาดการประสาน การทำงานปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการบริหารจัดการ ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน ด้านเทคโนโลยี และด้านสภาพแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยเท่ากับ -.213, .141 .103, .043, .032, .024 และ .022 ตามลำดับ ได้ค่า Adjusted R Square = .020 หรือ ร้อยละ 20.00 ส่วนประสิทธิผลของการนำนโยบายการดูแลสุขภาพระยะยาวของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงไปปฏิบัติ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลสุขภาพระยะยาวครบทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งด้านสิทธิบัตรทอง สิทธิเบิกราชการ และสิทธิประกันสังคม
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาในกองพลพัฒนาที่ 3
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ศิลปานันต์ ลำกูล; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; เลอพงศ์ ศรีสรรพางค์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพความรู้ความเข้าใจการพัฒนาบุคลากรด้านการพัฒนาของกองพลพัฒนาที่ 3 และการนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการพัฒนาของพลพัฒนาที่ 3 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรของกองกลพัฒนาที่ 3 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำหริ โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง โครงการหมู่บ้านยามชายแดน และโครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองชายแดน ทั้งข้าราชการทหารระดับนายทหารชั้นประทวน และนายทหารชั้นสัญญาบัตร จำนวน 136 คน ในจังหวัดเชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาบุคลากรของกองพลพัฒนาที่ 3 ที่ดำเนินการในปัจจุบันมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการสรรหาบุคลากรเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลากร โดยจัดให้มีการปฐมนิเทศก่อนการปฏิบัติงาน และระหว่างการปฏิบัติงานได้มีการส่งบุคลากรเข้าอบรมในเรื่องที่เกี่ยวข้องบางเรื่อง ซึ่งเป็นไปตามหลักการของการพัฒนาบุคลากรทั่วไป แต่เมื่อมองถึงเรื่องการเพิ่มศักยภาพให้บุคลากรเหล่านี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาทักษะและความรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานนั้น น่าจะไม่เพียงพอ 2. รูปแบบที่นำเสนอประกอบด้วย การปฐมนิเทศและการฝึกอบรมก่อนการปฏิบัติงานเป็นเวลา 7 วัน ในเรื่องโครงการที่ปฏิบัติ สายการบังคับบัญชา หลักการปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการพัฒนาของกองทัพบก แผนการปฏิบัติงานในรอบปีงบประมาณ การพัฒนาชุมชน กระบวนการพัฒนาชุมชน การศึกษาชุมชน การประชาสัมพันธ์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการแนวคิดในการพัฒนา วิทยากรกระบวนการ การจัดเวทีประชาคม และการลงฝึกปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ ตลอดจนการทำการประเมินผล และสรุปผลการฝึกอบรม หลังจากนั้นชุดปฏิบัติการจะลงสู่พื้นที่รับผิดชอบและปฏิบัติงานตามภารกิจ โดยเมื่อปฏิบัติงานทุกห้วงเวลา 3 เดือน ชุดปฏิบัติการจะกลับเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เป็นเวลา 3วันเพื่อแถลงผลและวิเคราะห์การปกิบัติงานที่ผ่านมา
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การนำเสนอแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาค ที่ 3.2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ดวงพร สุขุประการ; สุเมธ แสงนาทร; สมคิด ศรีสิงห์
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและนำเสนอแนวทางในการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 รวม 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้า ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านระบบการทำงาน และด้านการส่งเสริมและสนุนสนุนของผู้บริหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานของศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 จำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาในการทำงานของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลูกค้าภูมิภาคที่ 3.2 มี ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความสามารถในการทำงาน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การบันทึกข้อมูลหรือการจัดทำฐานข้อมูลสถิติเหตุเสียและประวัติการซ่อมบำรุง การปฏิบัติงานใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และการปรับปรุงฐานข้อมูลการแก้ไขติดตั้งเคเบิล ตามลำดับ 1.2 ด้านสวัสดิการและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรกได้แก่ ความก้าวหน้าเรื่องเงินเดือนที่ไดรับเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่ปฏิบัติ ความก้าวหน้าที่ได้รับการปรับเปลี่ยนหน้าที่ให้ดีขึ้นตามความสามารถ และความก้าวหน้าในเรื่องเงินเดือนที่ได้รั้บเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ ตามลำดับ 1.3 ด้านการมีมนุษยสัมพันธ์ มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานเมื่อประสบปัญหาในการปฏิบัติงาน และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและเพื่อร่วมงาน ตามลำดับ 1.4 ด้านระบบการทำงาน มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ ปริมาณงานที่มีมากเกินจำนวนผู้ปฏิบัติงาน ระดับของการบังคับบัญชามีมากทำให้ยากในการที่จะปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว และระบบการทำงานที่มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตามลำดับ 1.5 ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนของผู้บริหาร มีปัญหาเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหา 3 อันดับแรก ได้แก่ การสนับสนุนการจัดให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำงาน ให้เพียงพอกับความต้องการใช้งาน การจัดสรรอุปกรณ์ของใช้จากหน่วยสนับสนุนด้วยความรวดเร็ว และการอบรมให้มีความรู้ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ 2. แนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานบริการโทรศัพท์ ศูนย์บริการตอนนอก ฝ่ายขายและบริการลุกค้าภูมิภาคที่ 3.2 แบ่งเป็น 2 ด้านคือ ด้านระบบการทำงาน โดยลลดความสลับซับซ้อนของหน่วยงาน ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการทำงาน ลดเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมการ การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการปฏิบัติงาน การใช้วิธีการป้องกันมากกว่าแก้ไข การเปลี่ยนบทบาทจากผู้ปฏิบัติงานมาเป็นผู้ควบคุมงาน และด้านบุคลากร โดยการจัดอบรมให้กับพนักงานและการชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับพนักงาน
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การนำเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอมรินทร์ลากูน พิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) ผกามาศ อินทร์ตลาดชุม; ถาวร พงษ์พานิช; สมคิด ศรีสิงห์
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า 2) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า และ3) ประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพของพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก การศึกษาครั้งนี้ศึกษากับประชากร ได้แก่ ผู้จัดการแผนกต้อนรับส่วนหน้า ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายบุคคล หัวหน้าฝ่ายงานของแผนกต้อนรับส่วนหน้า และพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า โรงแรมอัมรินทร์ลากูล พิษณุโลก จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพการปฏิบัติงานบริการ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่า 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .8971 แบบบันทึกการแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ.8971 แบบบันทึกการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาศักยภาพซึ่งเป็นแบบบันทึกปลายเปิด และแบบประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ซึ่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย() ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน()และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติงานบริการภาพรวมของทุกฝ่ายอยู่ในระดับพอใจ 2. แนวทางการพัฒนาศักยภาพ ด้านบุคลิกภาพ ควรเปลี่ยนแบบฟอร์มพนักงานใหม่ ดูแลกวดขั้นการแต่งกายให้ถูกระเบียบ จัดสวัสดิการเครื่องประดับสำหรับพนักงานอาคันตุกะสัมพันธ์ให้เหมาะสมกับแบบฟอร์ม และมีการรณรงค์การปฏิบัติงานด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ควรจัดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับทักษะในการปฏิบัติงาน จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่มีรายละเอียดมากยิ่งขึ้น แจ้งข้อมูล และจัดหาเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลจังหวัดใกล้เคียงเส้นทางเทศกาล หรือเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนล่วงหน้า จัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเรียกดูหมายเลขโทรศัพท์ สำหรับพนักงานรับโทรศัพท์ มีการประเมินการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง นำผลการประเมินย้อนกลับสู่พนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้บริการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ควรมีการทำสังคมมิติในกลุ่มพนักงานเป็นรายบุคคล และมีการประเมินผลจากลูกค้าที่ใช้ 3. หัวหน้างานแผนกต้อนรับส่วนหน้าโรงแรมอัมรินทร์ลากูน พิษณุโลก มีความพึงพอใจต่อแนวทางการพัฒนาศักยภาพ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาชุมชนหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สุมาลี อินทอง; ภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์; นิพันธ์ ประทุมศิริ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชุมชรหนอกปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่ถูกปิดล้อมด้วยวัฒนธรรมอุตสาหกรรม : กรณีศึกษาหนองปิ้งไก่ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดยศึกษาจากประชากรทั้งหมด 680 คน แล้วทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการ Snowball Sampling ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 228คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เครื่องบันทึกเสียง สมุดจด วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูล วิเคราะห์เนื้อหาและเรียบเรียงวิเคราะห์เปรียบเทียบกับทฤษฎี และนำเสนอด้วยวิธีการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่มีการพัฒนาเหมืองฝายเพื่อสร้างผลผลิตทางหารเกษตรให้มากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ชาวบ้านนั้นยากจนลงและมีหนี้สิ้นเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ 2. ชาวบ้านในหมู่บ้านหนองปิ้งไก่เริ่มมีความสัมพันธ์กันลดลงเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มโยกย้ายถิ่นฐานของตนเองเข้าสู่เมืองทำให้เกิดความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนเริ่มสั่นคลอนลง 3. ภาครัฐให้การกระตุ้นชาวบ้านทั้งยังจัดโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้ชาวบ้านต้องกู้หนี้ยืมสิน ซึ่งส่งผลให้ชาวบ้านนั้นจำนองจำนำและขายพื้นที่กินในที่สุด 4. เอกชนจัดบริการเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการทำการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของชาวบ้านให้รวดเร็วและทันต่อความต้องการในการใช้จ่ายให้มากที่สุด ผลคือ ชาวบ้านมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวบ้านนั้นยากจนลงและติดหนี้สิน 5. แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการลดค่าใช้จ่าย เสริมสร้างรายได้ ประหยัด การพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือกัน การดำรงชีวิตพึ่งตนเอง อยู่อย่างเพียงพอ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
  • Thumbnail Image
    รายการถูกจำกัด
    การบริหารการศึกษา
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2528) หาญชัย สงวนให้
  • «
  • 1 (current)
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
  • 6
  • 7
  • 8
  • 9
  • 10
  • 11
  • 12
  • 13
  • 14
  • 15
  • ...
  • 18
  • »

สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

156 ม.5 ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000

โทรศัพท์: 0-5526-7224-5

เว็บไซต์: library.psru.ac.th

E-mail: lib_pibul@live.psru.ac.th

LiveChat

Pibulsongkram Logo

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

Follow Us
Pibulsongkram Logo

                       

©2025 คลังสารสนเทศดิจิทัลพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • ข้อตกลงสำหรับผู้ใช้
  • ข้อเสนอแนะ