เรียกดูข้อมูลตาม ปีที่เผยแพร่
กำลังแสดง1 - 20 of 354
- Results Per Page
- ตัวเลือกการเรียงลำดับ
รายการ ถูกจำกัด การบริหารการศึกษา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2528) หาญชัย สงวนให้รายการ ถูกจำกัด อิเล็กทรอนิกส์ 3(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2531) ประสิทธิ์ สิงหเดชรายการ ถูกจำกัด เทคนิคการตัดเย็บเสื้อและกระโปรง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2534) อำนวยพร สุนทรสมัยรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการประกันคุณภาพการศึกษา ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2543) เชาว์ เตล็ดทอง; สรรค์ วรอินทร์; สุดไฉน มีริยะเกิดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสภาพและปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดกำแพงเพชร(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2545) มนู หมอกเมฆ; สรรค์ วรอินทร์; สอน โรจนตระกูล; สุดไฉน มีรียะเกิดรายการ การเข้าถึงแบบเปิด ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2546) วุฒิพงศ์ ภูมิประพัทธ์; วราพร พงศ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; ภาณุวัฒน์ กักติวงศ์การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนในด้านการบริหารงานโรงเรียนด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้และด้านความสัมพันธ์กับชุมชน และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการจัดการศึกษาการจัดการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย ตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัย จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับและแบบสอบถามชนิดปลายเปิดดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการให้ตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Windows สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเทศบาลในจังหวัดสุโขทัยด้านการบริหารโรงเรียน ด้านคุณลักษณะของผู้บริหารและครูผู้สอน ด้านความสัมพันธ์กับชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ส่วนด้านคุณลักษณะของผู้เรียน ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ด้านแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้ และประสิทธิภาพการจัดการศึกษา เมื่อจำแนกตามสถานภาพของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก ปีงบประมาณ 2545(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2546) เอื้อบุญ ที่พึ่ง; บุญรักษ์ ตัณฑ์เจริญรัตน์; กุลยา จันทร์อรุณ; สุภาพ รมณีย์พิกุลการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของบุคคลก่อนและหลังการฝึกอบรม ภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก ในด้าน ความรู้ด้านพลังงาน ความรู้ด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้า พฤติกรรมด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมภายใต้โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 241 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม SPSS สถิติที่ใช้คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัยพบว่า 1.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการฝึกอบรม มีพฤติกรรมการปฏิบัติด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า ก่อนเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง และมีพฤติกรรมการปฏิบัติด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าหลังเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับการปฏิบัติมาก 2.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการฝึกอบรม เพศชายและเพศหญิง มีพฤติกรรมการปฏิบัติก่อนการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง และมีพฤติกรรมการปฏิบัติหลังเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก 3.พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง หลักสูตรระดับพื้นฐาน มีพฤติกรรมการปฏิบัติก่อนเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ในระดับปฏิบัติมาก ส่วนหลักสูตรระดับกลาง และหลักสูตรระดับสูง มีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับปฏิบัติเป็นบางครั้ง พฤติกรรมการปฏิบัติหลังเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรระดับพื้นฐาน และหลักสูตรระดับกลาง มีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ส่วนหลักสูตรระดับสูงมีพฤติกรรมการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 4.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม ในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าก่อนเข้ารับการฝึกอบรมในภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าหลังเข้ารับการฝึกอบรม ในภาพรวม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 6.การเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและหลังการฝึกอบรม แยกตามหลักสูตร มีพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้า ในภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การบริหารและจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อการวิจัยเรื่อง การบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและแบบสำรวจการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบจำลองการบริหารและการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยปรับแต่งเป็นแบบสำรวจเพื่อใช้เก็บข้อมูลภาคสนามและแบบสอบถามที่นำไปเก็บข้อมูลจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้า บุคคลผู้ปฏิบัติงานในอุทยานฯ นักท่องเที่ยว ประชาชนชุมชนท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า อุทยานแห่งชาติภู่หินร่องกล้ามีความสามารถในการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับที่สูง มีเพียง 4 กิจกรรมเท่านั้นที่อุทยานฯยังไม่ได้ดำเนินการ ส่วนความสามารถในการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรในองค์กร, นักท่องเที่ยว และชุมชนท้องถิ่นในเขตอุทยาน อยู่ในระดับดีพอสมควรทำให้เชื่อมั่นได้ว่าแบบสำรวจและแบบสอบถามการบริหารและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจะสามารถเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานการบริหารและการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วันชัย พฤกษะวัน; สุรชัย ขวัญเมือง; วีรพงษ์ อินร์ทอง; อดุล วังศรีคูณการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ใน 7 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการจัดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานและความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนจำนวน 206 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามลักษณะเป็นเลือกตอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าความถี่ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริหารมีความเห็นโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปน้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณความพร้อมด้านการบริหารทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต และความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในตามลำดับ ส่วนครูผู้สอนมีความคิดเห็นว่าโรงเรียนมีความพร้อมในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานเรียงตามความพร้อมมากไปย้อย ได้แก่ ความพร้อมด้านการวางแผนงบประมาณ ความพร้อมด้านการบริหารงานทางการเงินและควบคุมงบประมาณ ความพร้อมด้านการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงาน ความพร้อมด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ความพร้อมด้านการคำนวณต้นทุนผลผลิต ความพร้อมด้านการตรวจสอบภายในและความพร้อมด้านการบริหารสินทรัพย์ตามลำดับรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยและพัฒนาชุดฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาและฝึกอบรมครู เรื่องการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) วิราพร พงศ์อาจารย์รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาเพื่อพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกแนวพุทธศาสนา(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2547) พิชัย จันทยา; อำนวยพร สุนทรสมัย; สมคิด ศรีสิงห์; วีระพงษ์ อินทร์ทองการศึกษาเพื่อพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกแนวพุทธศาสนามี จุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลกกำหนดหลักการและ ประเด็นการพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพแนวพุทธศาสนาและพัฒนาระดับจรรยาบรรณของตัวแทนประกันชีวิตตาม แนวทางพุทธศาสนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การศึกษา ได้แก่ ผู้เอาประกันชีวิตในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 390 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (simple Random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบ ถามชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง วิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร ์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป spss for windows สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในขั้นตอนการพัฒนาระดับ จรรยาบรรณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ตัวแทนประกันชีวิตในโครงการพัฒนาพลังขายใหม่ สังกัดบริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด จำนวน 36 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองแบบมีส่วนนร่วมและไม่มีส่วนร่วม โดยการสังเกต สัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความเป็นเหตุเป็นผลและผสมผสานข้อมูลที่ค้นพบกับ หลักธรรมและคำสอนในแนวพุทธศาสนา และพรรณาวิเคราะห์ (Analytical Descn1ption) ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตใน จังหวัดพิษณุโลกโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีระดับปานกลางในทุกข้อ 2.หลักการและประเด็นในการพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตในทุกข้อเริ่มจากตัวแทน ต้องมีสัมมาทิฎฐิ เป็นพลังนำไปสู่การตั้งปณิธานยึดมั่น และปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพจนเกิดการพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป 3.ตัวแทนประกันชีวิต ที่ได้รับการอบรม และร่วมกิจกรรมตามแนวพุทธศาสนาในภาพรวมตัวแทน ประกันชีวิตมีสัมมาทิฏฐิเกิดศรัทธาในอาชีพนำไปสู่การตั้งปณิธาณที่จะยึดมั่นในจรรยาบรรณวิชาชีพตัวแทน ส่งผลในการปฏิบิตงานอย่างจริงจัง จนประจักผลในทางที่ดีขึ้น 4. ตัวแทนประกันชีวิตเกิดสัมมาทิฎฐิ ด้วย 2 ปัจจัย คือ ปรโตโฆสะ หรือได้สดับแต่ผู้อื่น (กัลยณมิตร) และโยนิโสมนสิการ หรือการทำในใจโดยแยบคาย 5.การนำสัมมาทิฎฐิสู่การพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวแทนประกันชีวิตให้สูงขึ้นนั้นตัวแทนประกันชีวิตต้องยึดมั่นหลักธรรม อิทธิบาท 4รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) จิราภรณ์ เอมเอี่ยม; วิราพร พงศ์อาจารย์; บุญรักษ์ ดัณฑ์เจริญรัตน์; เตือนใจ เกียวซีรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาความรู้ด้านการตลาด ของกลุ่มอาชีพทอผ้า บ้านม่วงหอม หมู่ที่ 5 ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2548) ละออ ทรงกฤษณ์; สมคิด ศรีสิงห์; อำนวยพร สุนทรสมัย; เทอดศักดิ์ จันทร์อรุณรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา”(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ทิพย์สุดา นัยทรัพย์การวิจัยชุดนี้จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างชุดการเรียนการสอนวิชาความจริงของชีวิต เรื่อง “การดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา” และหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน 3 ด้านคือ 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนของนักศึกษา และ3)เจตคติของนักศึกษาต่อบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้ บทเรียนสำเร็จรูป และแบบสอบถามวัดเจตคติ ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดในภาพรวมเท่ากับ 87.45/77.27 ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดคือ 75/75 ยกเว้น ชุดที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์เล็กน้อย ส่วนใหญ่ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป นักศึกษามีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05 ด้านเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทั้ง 5 ชุด พบว่า นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหาทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผลและเปิดโอกาสให้นักศึกษารู้หลักธรรมควบคู่กับการปฏิบัติอย่างเหมาะสมรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) รุ่งทิพย์ จันธิราช; นงคราญ กาญจนประเสริฐ; อำนวยพร สุนทรสมัยการวิจัยในเรื่องนี้วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบปัญหาความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่ม โดยพัฒนาความรู้ ผลิตภัณฑ์และการศึกษาความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ทำวิจัยในกลุ่มผ้าทอบ้านน้ำพริก ตำบลยางโกลน อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ด้วยวิธีการวิจัยแบบภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยังเป็นปัญหาพื้นฐานของกลุ่มทอผ้าบ้านน้ำพริก และกลุ่มมีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่เหมาะสมกับวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ และต้องการพัฒนาความรู้ของสมาชิกกลุ่มด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป 2. กลุ่มสมาชิกที่มีความรู้ และทักษะฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปสามารถผลิต ผลิตภัณฑ์ เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษที่มีความเหมาะสมกับกลุ่มวัยกลางคนถึงสูงอายุ เป็นเสื้อแขนสั้น คอปกเชิ้ต บ่าเรียบไม่มีอินธนู กระเป๋าเจาะไม่มีฝาปิดด้านซ้าย ชายเสื้อตัดตรงมีขอบยื่นสำหรับติดกระดุม ตัวเสื้อใช้ผ้าสีพื้น กระดุมหุ้มด้วยผ้าสีพื้น 3. ความคิดเห็นของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบผลิตภัณฑ์เสื้อสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษของกลุ่ม ทอผ้าบ้านน้ำพริก ที่เป็นรูปแบบเรียบง่าย ไม่เป็นทางการ สามารถสวมใส่ในทุกๆโอกาส โทนสีปานกลางไม่เข้มหรืออ่อนเกินไปเหมาะกับรูปร่างและผิวพรรณของแต่ละบุคคล สวมใส่แล้วสวยงามดูภูมิฐาน สุภาพเรียบร้อยเข้ากับลักษณะของกลุ่มวัยตนเอง ราคาไม่แพงเกินไป สามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปไปใช้ได้รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศ(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) จั๋ย หยูนเหมย; เอื้อมพร หลินเจริญ; เกษม บุญโญการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ช่างต่างประเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษษที่เรียนภาษากับอาจารย์ชาวต่างประเทศซึ่งเป็นนักศึกษาสาขาศิลปะศาสตร์ โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชั้นปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 และปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2549 จำนวน 246 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จำนวน 70 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 223 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอนภาษาของอาจารย์ชาวต่างประเทศในภาพรวมและแต่ละรายด้านอยู่ในระดับมากรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการบริหารการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) เกศรา เจริญกุล; วิราพร พงษ์อาจารย์; อภิวันท์ ชาญวิชัย; เกษม บุญโญการศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามในด้านความพร้อมของปัจจัยเบื้องต้นที่สนับสนุนการจัดการศึกษา ความเหมาะสมของกระบวนการ และผลผลิตของการจัดการศึกษากลุ่มตัวอย่างใช้ในการประเมินได้แก่ มหาบัณฑิต นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา อาจารย์ผู้สอนหรือคณะกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และผู้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานของมหาบัณฑิต จำนวน 113 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลสถิติใช้สถิติ ร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินการจัดการศึกษาด้านความพร้อมของปัจจัยที่สนับสนุนการศึกษาทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านส่วนใหญ่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากยกเว้นในเรื่อง การใช้สื่อและอุปกรณ์การสอนและการมีเวลาให้คำปรึกษาแก่นักศึกษานอกชั้นเรียนอยู่ในระดับปานกลาง การประเมินกระบวนการในการจัดการศึกษา ในภาพรวมและเป็นรายด้านมีความเหมาะสมในระดับปานกลาง ยกเว้นเรื่อง การจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิต ทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิต และนักศึกษาเกี่ยวกับความพร้อมด้านปัจจัย พบว่าส่วนใหญ่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติส่วนด้านบุคลากรในสำนักงานวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ ไม่แตกต่างกัน 4. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์ มหาบัณฑิตและนักศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมด้านกระบวนการทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน 5.ผลการเรียบเทียบคุณภาพของมหาบัณฑิตความคิดเห็นของมหาบัณฑิตและผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานของมหาบัณฑิตทั้งในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกด้านแตกต่างกันรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การศึกษาสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาดนตรี : เฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือตอนล่าง(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) สธน โรจนตระกูลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษาสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และเพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง โดยจำแนกตามวุฒิทางการศึกษา ประสบการณ์ในการสอน และขนาดของโปรแกรมวิชา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผ็สอนระดับปริญญาตรี สาขาวิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ปีการศึกษา 2549 ซึ่งได้มาโดยการเจาะจงจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 42 คน เก็บข้อมูลได้ 38 ฉบับ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบประเมินสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ แบ่งเป็น 4 ด้านคือ ความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการสอน การจัดกิจกรรมการสอน การสนับสนุนและสร้างแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดลองค่า F- test ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนระดับปริญญาตรี สาขาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. สมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนจำแนกตามรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน 3. การเปรียบเทียบสมรรถภาพที่จำเป็นในการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนโดยรวมทุกด้านเมื่อเปรียบเทียบกันตามวุฒิทางการศึกษา และประสบการณ์การสอนไม่แตกต่างกันส่วนขนาดของโปรแกรมวิชาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ เช่น 0.05รายการ การเข้าถึงแบบเปิด การใช้พื้นที่ดินสาธารณะจังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) อุไรวรรณ วิจารณกุลการศึกษาการใช้พื้นที่ดินสาธารณะจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปริมาณขอบเขต ลักษณะประเภท และรูปแบบการเข้าใช้ประโยชน์ของพื้นที่ดินสาธารณะของจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย โดยศึกษารายละเอียดใน 5 ตำบลของจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้แก่ ตำบลบ้านกร่าง ตำบลพันเสา ตำบลแม่ระกา ตำบลวังพิกุล ตำบลดินทอง และตำบลย่านยาว วิธีการศึกษาเริ่มต้นด้วยการศึกษาบริบทของพื้นที่สาธารณะในตำบลจากเอกสาร ประกาศ พระราชบัญญัติทางหลวง พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดิน ศึกษาขนาดและขอบเขตจากการสำรวจพื้นที่ และศึกษาจากแผนที่ต่างๆ ทำการศึกษาขอบเขตของพื้นที่สาธารณะประโยชน์ โดยใช้เครื่องจีพีเอสวัดพิกัดทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ และศึกษารูปแบบการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์จากการสัมภาษณ์สำรวจและถ่ายภาพตามสภาพจริง ผลการศึกษาพบว่าจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย มีที่ดินสาธารณะที่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ทางหลวงจำนวนทั้งสิ้น 1,197 แปลง รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมด 95,227 ไร่ 1,824 งาน 58,546.50 ตารางวา หรือคิดเป็น0.90 % ของพื้นที่จังหวัดทั้ง 2 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีสภาพเป็นหนอง คลอง บึง 799 แปลง รวมเป็นพื้นที่37,322 ไร่ 1,266 งาน 39,230.7 ตารางวา คิดเป็น 66.75 ของจำนวนแปลงของพื้นที่สาธารณะรวมทั้ง 2 จังหวัด และมีสภาพเป็นดิน 398 แปลง รวมเป็นพื้นที่ 57,905 ไร่ 558 งาน 19,315.8 ตารางวา ในตำบลบ้านกร่าง ตำบลพนเสา ตำบลแม่ระกา ตำบลวังพิกุล ตำบลดินทอง ของจังหวัดพิษณุโลก และตำบลคลองยาง ตำบลศรีคีรีมาศ ตำบลป่ากุมเกาะ และตำบลย่านยาว ของจังหวัดสุโขทัย มีพื้นที่สาธารณประโยชน์รวมทั้งสิ้น 79 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 4,410 ไร่ 308.3 ตารางวา คิดเป็น 0.99% ของพื้นที่รวมทั้ง 9 ตำบลพื้นที่สาธารณประโยชน์ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นบึง คลอง ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพเดิม 54.4 % ของพื้นที่สาธารณทั้งหมดยังมิได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นอย่างอื่นเป็นพื้นที่ที่มิได้มีการบุกรุกคิดเป็นพื้นที่ 2,399 ไร่ 211.3ตารางวา หรือคิดเป็น 45.6 % ของพื้นที่สาธารณทั้งหมด ในพื้นที่สาธารณะที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ มีผู้เข้าครอบครองพื้นที่ จำนวน 48 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีหน่วยงานราชการ 4 แห่ง ครอบครอง 42.3% ของพื้นที่สาธารณะทั้งหมด คิดเป็นพื้นที่ที่มีการครอบครอง 1,866 ไร่ 3 งาน 368 ตารางวา และ 3.3% ของพื้นที่สาธารณะทั้งหมด เป็นพื้นที่ที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันของคนในตำบลนั้นๆ รูปแบบของการเข้าใช้ประโยชน์ ในพื้นที่สาธารณะ คือการเข้าใช้พื้นที่ทำการเกษตร ได้แก่ ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ เป็นที่ตั้งโรงเรียน ที่ตั้งหน่วยงานราชการ บ่อบำบัดน้ำเสีย ที่เก็บกักน้ำ สวนสาธารณรายการ การเข้าถึงแบบเปิด การวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนปฏิบัติการชีวเคมี1(มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2549) ฤดีวรรณ บุญยะรัตน์การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนปฏิบัติการวิชาชีวเคมี 1 ซึ่งเน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเปิดโอกาสให้ใช้เครื่องวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ โดยได้ทำการสร้างบทเรียนสพเร็จรูป 6 ชุด เนื้อหาของชุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พุทธศักราช 2550 ในรายวิชาปฏิบัติการชีวเคมี 1และได้นำชุดการเรียนการสอนนี้ทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 38 คน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนทั้ง 3 ด้าน เจตคติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา แบบสอบถามวัดเจตคติ และแบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสอบถามวัดเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปในทุกๆด้าน อยู่ในระดับดี (3.50-4.49) เช่น วัตถุประสงค์ชัดเจน เนื้อหากระชับและชัดเจน ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้ความคิดและเหตุผล และเปิดโอกาสให้ใช้เครืองมืออย่างเต็มที่ ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปมีการเรียนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับประสิทธิภาพของบทเรียนแต่ละชุดอยู่ในเกณฑ์กำหนด E1 : E2 = 75 : 75 โดยมีค่าเบี่ยงเบนได้ ±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากรายงานผลการศึกษาบทเรียน เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนน จากแบบประเมินตนเองเมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมในบทเรียนสำเร็จแต่ละชุด