วิจัย

Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/155

ค้นหา

ผลลัพธ์การค้นหา

กำลังแสดง1 - 7 of 7
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษารูปแบบการเลี้ยงไก่ไข่ที่ส่งผลต่อสมรรถภาพการผลิตและคุณภาพไข่
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) สุกัญยา แตงโม; สุภาวดี แหยมคง; ประภาศิริ ใจย่อง; พัทธนันท์ โกธรรม; ต๋วน เหงียน ง๊อก
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    นวัตกรรมการบูรณาการการใช้ประโยชน์จากเศษอาหารแบบครบวงจร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ชัชวินทร์ นวลศรี; คงเดช พะสีนาม; ปุณณดา ทะรังศรี; ธันวมาส กาศสนุก; จักรกฤช ศรีละออ
    กระบวนการหมักแบบไร้อากาศเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นวิธีการกำจัดเศษอาหารที่มีประสิทธิภาพและยังได้พลังงานทดแทนกลับมาใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการลดต่ำลงของค่า pH ในกระบวนการหมัก อันเนื่องมาจากความไม่สมดุลของการผลิตกรดไขมันระเหยง่าย (Volatile Fatty Acids; VFAs) ที่สร้างขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การนำ VFAs ไปใช้ในการสร้างแก๊สมีเทนเกิดขึ้นได้ช้า ส่งผลให้เกิดการสะสมของ VFAs ในระบบ ซึ่งแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาคือ การนำบัฟเฟอร์มาใช้ในการควบคุมค่า pH ของกระบวนการหมักแบบไร้อากาศ ชุดโครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาชนิดและความเข้มข้นของบัฟเฟอร์ที่เหมาะสมต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหาร โดยมีการศึกษาทั้งถังหมักแก๊สมีเทนในระดับห้องปฏิบัติการและถังหมักระดับครัวเรือน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาการนำกากตะกอนและน้ำเสียจากกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำ เพื่อประยุกต์ใช้ทางการเกษตร ผลการวิจัยพบว่า ถ่านกัมมันต์เป็นวัสดุที่มีความเหมาะสมต่อการนำมาใช้เป็นบัฟเฟอร์ของกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนจากเศษอาหารมากที่สุด เนื่องจากถ่านกัมมันต์ช่วยรักษาระดับ pH ของน้ำหมัก ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตมีเทนสูงขึ้น และยังช่วยในการดูดซับสีและกลิ่นของน้ำหมักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนของถ่านกัมมันต์ต่อเศษอาหารที่เหมาะสมเท่ากับ 3:1 ทำให้ได้ปริมาตรแก๊สมีเทนสะสม ค่าผลได้ของมีเทน และค่าพลังงานของมีเทนสูงที่สุด เท่ากับ 959 mL, 107 mL/g-VS และ 3.83 kJ/g-VS ตามลำดับ นอกจากนี้ ถ่านกัมมันต์ยังส่งผลกระทบทางลบต่อกระบวนการผลิตแก๊สมีเทนน้อยที่สุดเมื่อใช้ในความเข้มข้นระดับสูง จากการขยายขนาดถังหมักสู่ระดับครัวเรือน พบว่าระบบสามารถรองรับปริมาณเศษอาหารได้ประมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อวัน ถ่านกัมมันต์และปูนขาวสามารถใช้เป็นบัฟเฟอร์ได้โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน จากการนำกากตะกอนและน้ำทิ้งจากกระบวนการหมักมาผลิตเป็นบูยอินทรีย์น้ำและทดสอบการเจริญเติบโตกับผักคะน้า พบว่าสภาวะของปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเพิ่มปริมาณน้ำหนักสดของคะน้า คือ ความเข้มข้นของบูยอินทรีย์น้ำ 26.29 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณในการใส่บูยอินทรีย์น้ำ 74.13 มิลลิลิตรต่อต้น และความถี่ในการใส่บูยอินทรีย์น้ำทุก 6.00 วัน ส่งผลให้ได้น้ำหนักสดของคะน้าเท่ากับ 96.58 กรัม
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาเกษตรกรรายย่อยอย่างมีส่วนร่วมในการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีและเสริมไอโอดีน สู่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มเกษตรกร ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ประภาคิริ ใจผ่อง; สุภาวดี แหยมคง; พัทธนันท์ โกธรรม; ต๋วน เหงียน ง๊อก
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อส่งเสริมการมีรายได้และเกิดความเข้มแข็งสู่เศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกษตรกรในท้องถิ่นเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและสามารถนำไปสู่ความยั่งยืนในอาชีพ ส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 30 ราย ร่วมกับคณะผู้วิจัย นักศึกษา และบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำการเก็บข้อมูลโดยการประชุมรวมกลุ่ม การสัมภาษณ์ และการสังเกต ทำให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค และความต้องการของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน มาสู่การแก้ไข โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1)ปัญหาด้านทุนอาหารที่ใช้เลี้ยงไก่ไข่ แก้ไขโดยการใช้วัตถุดิบในการผสมอาหารไก่ไข่และไอโอดีนในอาหารเอง 2)ปัญหาการตลาดหรือช่องทางในการจำหน่าย แก้ไขโดยเปิดช่องทางในการจำหน่ายทาง Social media ได้แก่ Facebook และ 3)เกษตรกรมีความต้องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ใช้ไก่ โดยการแปรรูปเป็นไข่ไก่เค็มสมุนไพร จากนั้นทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยคณะผู้วิจัยใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าสมาชิกในกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่คนใดน่าจะเป็นตัวแทนที่ดีจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแช ซึ่งได้จำนวน 6 ฟาร์ม เพื่อทำการเปรียบเทียบคุณภาพไข่ ปริมาณไอโอดีนในไข่ไก่ และรายได้เฉลี่ยต่อวันในการจำหน่ายไข่ไก่ก่อนและหลังการดำเนินงานด้วย t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ α = 0.05 จากผลการดำเนินงานพบว่า ค่าคุณภาพไข่ ปริมาณของไอโอดีนในไข่ไก่ และรายได้เฉลี่ยต่อวันของเกษตรกรจากการจำหน่ายไข่ไก่ของฟาร์มเกษตรกร 6 ฟาร์ม ทั้งก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) นอกจากนี้จากการดำเนินงานดังกล่าวรวมกันทำให้เกิดแนวทางในการจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีเสริมไอโอดีน ตำบลสมอแชในอนาคต เป็นการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับเกษตรกรและชุมชน โดยการพัฒนากลุ่มเกษตรกรเป็นอาชีพเชิงรูปธรรมได้ต่อไป
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาเม็ดปิดอัลจิเนตบรรจุสารสกัดฟักข้าว เพื่อเป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) จิรศิต อินทร; เปรมนภา สีโสภา; ศรัณญา สอนมณี
    ฟักข้าวเป็นพืชสมุนไพรที่พบว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงที่มีศักยภาพนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว งานวิจัยนี้ได้ทำการพัฒนาสูตรเม็ดปิดบรรจุสารสกัดฟักข้าวโดยพัฒนาจากไมโครอิมัลชันและอิมัลชัน จากนั้นทำการคัดเลือกสูตรเม็ดปิดที่มีความคงตัวของสารเบต้าแคโรทีนสูงที่สุด มาพัฒนาเป็นตัวรับเซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมเม็ดปิดที่บรรจุสารสกัดฟักข้าว และศึกษาความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า ผลการผลิตเม็ดปิดพบว่าเม็ดปิดอิมัลชันสามารถบรรจุสารสกัดฟักข้าวได้มากกว่าสูตรไมโครอิมัลชัน โดยที่เม็ดปิดสูตร X2 มีประสิทธิภาพในการกักเก็บเบต้าแคโรทีนสูงที่สุดและคงตัวสูงสุดในสภาวะพีเอช 5.0 เม็ดปิดสูตร X2A และ X2P มีร้อยละปริมาณเบต้าแคโรทีนคงเหลือมากกว่าร้อยละ 85 ที่สภาวะเร่งเป็นระยะเวลา 1 เดือน ผลการทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าผสมเม็ดปิดบรรจุสารสกัดฟักข้าวพบว่าทุกสูตรมีค่าพีเอชและค่าสีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยและมีค่าความหนืด ลดลงทุกสูตร โดยมีปริมาณสารเบต้าแคโรทีนคงเหลือมากกว่าร้อยละ 70 เซรั่มบำรุงผิวหน้าสูตรที่ X2AF01, X2AF04, X2PF01 และ X2PF04 ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อประเมินด้วยสายตา ผลจากการ ทดสอบผู้บริโภคพบว่า สูตร X2PF04 ได้รับคะแนนความชอบมากที่สุด จากการศึกษาทั้งหมดสรุปได้ว่าการบรรจุสารสกัดฟักข้าวในเม็ดปิดอิมัลชัน สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางดูแลผิวได้
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยการใช้ ระบบไมโครอิมัลชันเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ศนิพร จันทร์บุรี
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจากน้ำมันรำข้าวโดยระบบไมโครอิมัลชัน ในเบื้องต้นได้มีการเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวหอมมะลิด้วยวิธี DPPH จากผลการทดลองพบว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าน้ำมันรำข้าวจากข้าวหอมมะลิอย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 2 เท่า) (P<0.05) จากนั้นนำมาพัฒนาระบบไมโครอิมัลชันประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75 และ Cetiol® HE ซึ่งทำหน้าที่เป็นวัฏภาคน้ำมัน วัฏภาคสารลดแรงตึงผิว และวัฏภาคสารลดแรงตึงผิวร่วม ตามลำดับ โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับการนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มจะประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวจากข้าวไรซ์เบอร์รี่, Eumulgin® VL 75, Cetiol® HE และน้ำที่ปริมาณร้อยละ 35, 44, 11 และ 10 ตามลำดับ จากการประเมินทางประสาทสัมผัสพบว่าคุณลักษณะทางด้านความชอบโดยรวม ลักษณะปรากฏ สี และความใส พบว่าสูตรที่เหมาะสมได้คะแนนความชอบเฉลี่ยเท่ากับ 5.1, 5.7, 5.5 และ 5.0 คะแนนตามลำดับจากคะแนนเต็ม 7 คะแนน นอกจากนี้การทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์เซรั่มด้วยวิธี Freeze-thaw cycle พบว่าไม่เกิดการแยกชั้นของตัวรับของผลิตภัณฑ์
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวต่อ ผลผลิตเห็ดฟางที่เพาะในตะกร้าพลาสติก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) อมรรัตน์ อุประปุย; อรพิน เสละคร; คงเดช พะสีนาม; ธันวมาส กาศสนุก
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างต้นจอกกับฟางข้าวสำหรับใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางในตะกร้าพลาสติก โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design : CRD) แบ่งออกเป็น 5 สิ่งทดลองๆ ละ 4 ซ้ำ โดยใช้อัตราส่วนวัสดุเพาะ แตกต่างกัน ได้แก่ 1) จอกแห้ง 100% 2) จอกแห้ง 75% : ฟาง 25% 3) จอกแห้ง 50% : ฟาง 50% 4) จอกแห้ง 25% : ฟาง 75% และ 5) ฟาง 100% ผลการวิจัยหลังจากเพาะเห็ดฟางเป็นเวลา 13 วัน และเก็บผลผลิตติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน พบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยการใช้ฟางข้าว 100% ให้น้ำหนักดอกรวม จำนวนดอก น้ำหนักต่อดอก และ ขนาดเส้นรอบวงของเห็ดฟาง เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 740.46 กรัม 14.56 ดอกต่อตะกร้า 12.81 กรัมต่อดอก และ 12.44 เซนติเมตรต่อดอก ตามลำดับ
  • รายการ
    ความหลากหลายของอาร์โทรพอดในสวนยางพารา อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2563) ขนิษฐา ไชยแก้ว; อารยา บุญศักดิ์; สุรีย์รัตน์ บัวชื่น; วณิชญา ฉิมนาค
    วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาความหลากหลายของอาร์โทรพอด ในสวนยางพารา อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก โดยศึกษาถึงความสัมพันธ์ของความอุดมสมบูรณ์ของสภาพพื้นที่กับความหลากหลายของอาร์โทรพอด โดยเก็บตัวอย่างอาร์โทรพอดที่อาศัยอยู่บริเวณผิวดิน และที่ระดับความลึก 10 เซนติเมตร วางแนวสำรวจยาว 100 เมตร สุ่มเก็บตัวอย่าง 10 จุด คัดแยกอาร์โทรพอดด้วยกรวยคัดแยก (Tullgren funnel) พบอาร์โทรพอดทั้งหมด 3 ชั้น 11 อันดับ 17 วงศ์ รวมทั้งหมด 323 ตัว โดยอาร์โทรพอด ชั้น Insecta พบจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 76.78 รองลงมาคือ อาร์โทรพอดชั้น Archnida และ Diplopoda คิดเป็นร้อยละ 20.74 และ 2.48 ตามลำดับ เมื่อจำแนกตามอันดับ พบว่าแมลงในกลุ่มมดอันดับ Hymenoptera วงศ์ Formicidae พบจำนวนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 32.20 ค่าดัชนีความหลากหลาย Shannon-Wiener Diversity Index (H') พบว่า ตำบลน้ำกุ่ม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 0.24 และพื้นที่ตำบลห้วยเฮี้ยมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ 0.10 ในส่วนค่าดัชนีความสม่ำเสมอ พบมีค่าดัชนีความสม่ำเสมอเฉลี่ย อยู่ในช่วง 0.03 – 0.08 และมีค่าดัชนีความความสม่ำเสมอเฉลี่ยของอันดับ Araneaer สูงที่สุด รองลงมาคืออันดับ Mantodea เท่ากับ 0.09 และ 0.02 ซึ่งจากการศึกษาพบว่าความหลากหลายของอาร์โทรพอดจะสัมพันธ์กับสภาพพื้นที่ โดยพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นมากกว่า เช่น ตำบลน้ำกุ่ม มีความหลากหลายของอาร์โทรพอดมากกว่าพื้นที่อื่นๆ