วิทยานิพนธ์

Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/173

ค้นหา

ผลลัพธ์การค้นหา

กำลังแสดง1 - 5 of 5
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาทักษะการเขียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2560) พิมพ์รัตน์ จักรบุตร; สกล เกิดผล; วีระพงษ์ อินทร์ทอง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ และเพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 14 คน เลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนตามคำบอก สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านปากยาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีประสิทธิภาพเท่ากับ 76.60/77.71 หลังจากได้รับการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอก นักเรียนมีทักษะการเขียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะเขียนตามคำบอกโดยรวมอยู่ในระดับมาก
  • รายการ
    กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ ต่าย อรทัย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) แสงเดือน จงจำ; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” และเพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” ทั้งนี้วิเคราะห์ บทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” จำนวน 32 เพลง ใช้กรอบแนวคิดความเป็นชายขอบ 4 ด้าน ได้แก่ 1) บริบทด้านภูมิศาสตร์ 2) บริบทด้านเศรษฐกิจ 3) บริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม และ 4) บริบทด้านการศึกษา ส่วนการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบ ใช้กรอบแนวคิดกลวิธีทางภาษาระดับข้อความ 3 ด้าน ได้แก่ 1) กลวิธีทางศัพท์ 2) กลวิธีการขยายความ 3) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบ 1. ความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่งของ “ต่าย อรทัย” พบ 4 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านภูมิศาสตร์ และความเป็นชายขอบในบริบทด้านเศรษฐกิจปรากฏในความถี่มากที่สุด 2 ด้านเท่ากัน จำนวน 28 เพลง คิดเป็นร้อยละ 87.50 รองลงมา คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านการศึกษา จำนวน 7 เพลง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ ความเป็นชายขอบในบริบทด้านสังคมและวัฒนธรรม จำนวน 4 เพลง คิดเป็นร้อยละ 12.50 ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์กลวิธีทางภาษา ผลการวิจัยพบ 2.กลวิธีทางภาษาที่สะท้อนความเป็นชายขอบในบทเพลงลูกทุ่ง ของ “ต่าย อรทัย” ทั้งหมด 3 ด้าน เรียงลำดับข้อมูลจากความถี่มากที่สุด คือ กลวิธีทางศัพท์ จำนวน 27 เพลง คิดเป็นร้อยละ 84.38 และรองลงมา คือ กลวิธีการขยายความ จำนวน 23 เพลง คิดเป็นร้อยละ 71.88 และที่พบน้อยที่สุด คือ กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม จำนวน 21 เพลง คิดเป็นร้อยละ 65.63
  • รายการ
    การเปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทย โดยใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2567) จุลณีย์ บุญมี; วาสินี มีเครือเอี่ยม
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)พัฒนาคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน2) เปรียบเทียบผลการสื่อสารภาษาไทยของผู้เรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันและ 3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรกับวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมัน ผลการวิจัยพบว่า 1)คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.30/92.67 และคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติระหว่างวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.10/90.93 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลการสื่อสารของกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าผลการสื่อสารของนักเรียนที่เรียนด้วยคู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรและอักษรโรมัน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยสัทอักษรอยู่ในระดับมากค่าเฉลี่ย 4.40 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.45 และ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน และการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการถ่ายเสียงด้วยอักษรโรมันอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.35 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60โดยผลการจัดการเรียนการสอนและการใช้คู่มือสนทนาภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติด้วยวิธีการทั้ง 2 วิธี อยู่ในระดับมากเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
  • รายการ
    ผลการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยโดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลล์ที่มีต่อความสามารถในการอ่าน เพื่อความเข้าใจของผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) โกวิท บุญด้วง; ขวัญชนก นัยจรัญ
    การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลส์ 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาระหว่างทำกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลส์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ 1 จำนวน 35 คน จำนวน 1 กลุ่ม ที่ลงทะเบียนเรียนในกลุ่มรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบวัดความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิคสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกคอร์เนลส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลส์ พบว่า นักศึกษามีความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การศึกษาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาระหว่างทำกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลส์ พบว่า ความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักศึกษาระหว่างทำกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสอน KWL Plus ร่วมกับการจดบันทึกแบบคอร์เนลส์ระยะหลังดีขึ้นกว่าระยะแรกทุกระดับ
  • รายการ
    การศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2566) ปิยนุช อินทร์ธนู; สุชาดา เจียพงษ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป และวิเคราะห์ประเภทวัจนกรรมการสอนคุณธรรม 8 ประการที่ปรากฏในหนังสือนิทานสำหรับเด็กของเรืองศักดิ์ ปันประทีป จำนวน 32 เรื่อง โดยใช้กรอบแนวคิดคุณธรรม 8 ประการของกระทรวงศึกษาธิการเป็นเกณฑ์ ได้แก่ 1) ขยัน 2) ประหยัด 3) ซื่อสัตย์ 4) มีวินัย 5) สุภาพ 6) สะอาด 7) สามัคคี 8) มีน้ำใจ และกรอบการวิเคราะห์วัจนกรรมการสอนคุณธรรมที่นำมาจากแนวคิดของ John R. Searle 5 ประเภท คือ 1) วัจนกรรมการกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว 2) วัจนกรรมการกล่าวสั่ง 3) วัจนกรรมการกล่าวผูกพัน 4) วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก 5) วัจนกรรมการกล่าวประกาศหรือแถลงการณ์ ผลการศึกษาคุณธรรม 8 ประการ พบคุณธรรมครบทุกด้านโดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ คุณธรรมด้านมีน้ำใจ พบความถี่ 18 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 56.25 คุณธรรมด้านความสุภาพและความสามัคคี พบความถี่ 8 เรื่องเท่ากัน คิดเป็นร้อยละ 25 คุณธรรมด้านมีวินัย พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 คุณธรรมด้านความสะอาด พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 คุณธรรมด้านความขยันและคุณธรรมด้านความประหยัด พบความถี่เท่ากัน 2 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 6.25 และคุณธรรมความซื่อสัตย์พบความถี่ 1 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.12 ตามลำดับ ผลการศึกษาวัจนกรรมการสอนคุณธรรม พบวัจนกรรม 4 ประเภท โดยเรียงข้อมูลจากการพบความถี่มากที่สุด คือ วัจนกรรมกล่าวความจริงหรือการบอกกล่าว พบความถี่ 21 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 65.63 วัจนกรรมกล่าวสั่ง พบความถี่ 13 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 40.63 วัจนกรรมการกล่าวแสดงความรู้สึก พบความถี่ 7 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 21.88 และวัจนกรรมการกล่าวผูกพัน พบความถี่ 6 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 18.75 ตามลำดับ