วิจัย

Permanent URI for this collectionhttps://psruir.psru.ac.th/handle/123456789/146

ค้นหา

ผลลัพธ์การค้นหา

กำลังแสดง1 - 10 of 20
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเทอเรสของสารสกัดจากยอบ้านเพื่อป้องกันโรคอัลไซเมอร์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) ภรภัทร ลำอางค์; ดามรัศมน สุรางกูร; อนงค์ ศรีโสภา
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การปลดปล่อยและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสจากนาโนอาร์บูตินครีม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2559) วิษณุ ธงไชย; พิชัย พูลประเสริฐ; เฉลิมพร ทองพูน; ยุทธศักดิ์ แช่มมุ่ย; ศิริรัตน์ พันธ์เรือง
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การวิจัยเพื่อพัฒนาชุดการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) กุลยา จันทร์อรุณ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบปฏิบัติการ (Laboratory approach) และทักษะกระทวนการทางวิทยาศาสตร์โยได้ทำการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป 5 ชุดเนื้อหาของชุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พุทธศักราช 2550 โดยเน้นเนื้อหาส่วนหนึ่งในรายวิชาปฏิบัติการเคมีอินทรีย์ 2 และได้นำชุดการสอนนี้ทดลองใช้กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างในมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 40 คน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพชองชุดการเรียนการสอนทั้ง 3ด้าน คือ ทางด้านเจตคติ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา และประสิทธิภาพของชุดบทเรียนสำเร็จรูป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการเรียนการสอน แบบสอบถามวัดเจตคติ และแบบประเมินตนเองก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูลใชโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษษมีเจตคติที่ดีต่อบทเรียนสำเร็จรูปทุก ๆ ด้านอยู่ในระดับดี (3.5-4.19) เช่นด้านวัตถุประสงค์ เนื้อหากระชับ และชัดเจน ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างใช้เหตุผลและความคิด การได้ใช้เครื่องมือ และได้ทำการทดลองด้วนตนเองทุกขั้นตอน ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีความแตกต่างกัน โดยหลังการใช้บทเรียนสำเร็จรูปนักศึกษามีการเยนรู้ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดE1 : E2 = 75 : 75 โดยมีค่าเบี่ยงเบนได้±5% เมื่อ E1 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากรายงานผลการศึกษาบทเรียน E2 เป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 75 ของคะแนนจากแบบประเมินตนเองเมื่อสิ้นสุดการดำเนินกิจกรรมในบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การพัฒนาเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจากไหมข้าวโพดสีแดง
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) มนตรา ศรีษะแย้ม; นนทพร รัตน์จักร; พิมรินทร์ ศิรินทร์; กาญจนา วงศ์กระจ่าง; อนงค์ ศรีโสภา
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสารจากไหมข้าวโพดสีแดงเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้ง ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคและอายุการเก็บรักษา การสกัดสารใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย การทดสอบหาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดแบ่งเป็น 9 สภาวะ ที่มีความแตกต่างทั้งอุณหภูมิและระยะเวลาในการสกัด โดยใช้อุณหภูมิในการสกัดที่ 60 70 และ 80 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 10 นาที 20 นาที และ 30 นาที นำตัวอย่างทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH radical scavenging assay พบว่า สภาวะการสกัดที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที มีความสามารถในการยับยั้งอนุมูลอิสระสูงสุด เท่ากับ 62.10±0.72% และปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดสูงสุด เท่ากับ 93.42±0.09 mg/ 100g ตัวอย่าง เมื่อนำสารสกัดไหมข้าวโพดสีแดงไปประยุกต์ในเครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งซึ่งถูกพัฒนาขึ้น 3 สูตร และคัดเลือก 1 สูตร จากสูตรที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคสูงสุด โดยการทดสอบความพึงพอใจของอาสาสมัครด้วยแบบประเมินผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยวิธี 9 Point Hedonic Rating Scales และทำการศึกษาอายุการเก็บรักษาจากตัวชี้วัด ได้แก่ การตรวจความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและหาปริมาณแอนโทไซยานิน ทางด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ จำนวนแบคทีเรียทั้งหมด ยีสต์รา และโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และทางประสาทสัมผัส โดยเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผลที่ได้พบว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำสับปะรดสปาร์คกลิ้งสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ได้ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ โดยมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทั้งหมดตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่พบยีสต์ราและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และผลทางประสาทสัมผัสพบว่า ค่าเฉลี่ยลักษณะที่ปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ ความซ่า ความรู้สึกหลังกลิ่น และความชอบโดยรวมตั้งแต่วันที่ 0 จนถึงวันที่ 14 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) นอกจากนี้พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการเก็บรักษา 2 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส มีความสามารถด้านอนุมูลอิสระเท่ากับ 40.67±0.84% มีปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมดเท่ากับ 1,141.09±0.1 µg/250ml ตัวอย่าง
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • Thumbnail Image
    รายการการเข้าถึงแบบเปิด
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    การศึกษาระบบบริหารจัดการรายวิชาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2550) อุไรวรรณ รักผกาวงศ์
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาระบบบริหารการจัดการรายวิชาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม โดยให้ผู้สอนสร้างสื่อการเรียนการสอนในลักษณะ E-learning โดยใช้บริการผ่านทางระบบบริหารจัดการรายวิชา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม แล้วให้นักศึกษษที่เป็นกลุ่มตัวอย่างได้ทดลองใช้ พร้อมทั้งสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความสะดวกในการใช้บริการระบบบริหารจัดการรายวิชาของผู้สอน และศึกษาเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนที่ผู้สอนสร้างขึ้น โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลโดยการ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า เจตคติของนักศึกษาที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนที่ผู้สอนสร้างขึ้นในระบบการบริหารจัดการรายวิชา ผ่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ด้านการนำเสนอ ด้านเนื้อหา และด้านการนำไปใช้ ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยมีเจตคติที่ดีต่อสื่อการเรียนการสอนแต่ละด้านดังนี้ ระบบสามารถแสดงคะแนนที่หลังทำแบบทดสอบเสร็จ เนื้อหาบทเรียนมีความสอดคล่องกับจุดประสงค์ และสามารถส่งเสริมให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เรียงตามลำดับ ความคิดเห็นของผู้สอน เกี่ยวกับความสะดวกในการใช้บริการระบบริหารจัดการรายวิชาด้านการจัดการของผู้สอน ด้านการประมวลผลของนักศึกษา ด้านความรับผิดชอบของนักศึกษาทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับเหมาสมมากที่สุด โดยมีความคิดเห็นต่อระบบบริหารจัดการรายวิชา ดังนี้สะดวกในการสร้างแบบทดสอบได้หลายวิธี และสร้างแบบทดสอบแบบสุ่มข้อสอบได้ สะดวกในการเรียกดูคะแนนนักศึกษา และสะดวกที่ให้นักศึกษาทำข้อสอบชุดเดียวได้มากกว่า 1 ครั้ง เรียงตามลำดับ
  • รายการการเข้าถึงแบบเปิด
    กิจกรรมด้านอนุมูลอิสระ ด้านเอนไซม์ไทโรซิเนส และด้านแบคทีเรีย ของคีเฟอร์นมธัญพืช
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม, 2562) มนตรา ศรีษะแย้ม
    คีเฟอร์เป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีรายงานว่านมที่ผ่านการหมักมีฤทธิ์ทางชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่การศึกษาการทำคีเฟอร์ด้วยนมธัญพืชยังขาดการศึกษาอย่างมาก งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ของคีเฟอร์นมธัญพืช ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนส ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดสิว (Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus DMST 8013) และทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระใช้วิธี DPPH radical scavenging การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนสใช้วิธี mushroom tyrosinase inhibition ทดสอบความสามารถในการยับยั้งแบคทีเรียด้วยวิธี agar well diffusion และทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT ด้วยวิธี MTT assay ผลที่ได้พบว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของคีเฟอร์นมงาดำที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงสุด มีค่า IC50 เท่ากับ 0.78 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ผลการยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนส พบว่าคีเฟอร์นมข้าวโพดยับยั้งกิจกรรมเอนไซม์ไทโรซิเนสได้สูงสุด พบ % inhibition เท่ากับ 99.60±0.06% ที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตัวอย่างคีเฟอร์ทั้ง 3 ชนิด ในการยับยั้งแบคทีเรีย พบว่าคีเฟอร์นมงาดำ 250 มิลลิกรัม/มิลลิลิตรที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง สามารถยับยั้งเชื้อ P. acnes DMST 14916 ได้สูงสุด (14.67±0.58 มิลลิเมตร) ขณะที่คีเฟอร์นมข้าวโพด 250 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ที่ระยะเวลาหมัก 72 ชั่วโมง สามารถยับยั้งเชื้อ S. aureus DMST 8013 ได้สูงสุด (25.00±1.00 มิลลิเมตร) นอกจากนี้พบว่านมธัญพืชทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ทางชีวภาพสูงขึ้นเมื่อผ่านกระบวนการหมัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงความเป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT พบว่ามีความเป็นพิษสูงในระดับความเข้มข้นที่ 50 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร จากงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า คีเฟอร์นมธัญพืชสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้ แต่ควรจำกัดความเข้มข้นที่ใช้ให้เหมาะสม